แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในกรณีที่มีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการกำหนดให้เสนอข้อพิพาททางแพ่งให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด หากคู่สัญญาฝ่ายใดนำคดีมาฟ้องโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการเสียก่อนตามสัญญา คู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องก็อาจอาศัยอำนาจตามมาตรา 10 แห่ง พ.ร.บ.อนุญาโตตุลาการ พ.ศ.2530 ด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลก่อนวันสืบพยาน หรือก่อนมีคำพิพากษาในกรณีที่ไม่มีการสืบพยาน ให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีได้ แต่คดีนี้คงได้ความเพียงว่าจำเลยที่ 3 ให้การลอย ๆ อ้างว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการ โดยมิได้แสดงพยานหลักฐานต่อศาลแต่อย่างใด ทั้งมิได้โต้แย้งการที่ศาลชั้นต้นไม่ทำการไต่สวนให้ปรากฏว่า กรณีมีสัญญาระงับข้อพิพาทอยู่หรือไม่ แต่กลับต่อสู้คดีตามประเด็นที่โจทก์ฟ้องตลอดมา พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 3 หาได้ประสงค์จะขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน ๖๔,๓๒๖ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ในต้นเงิน ๖๑,๔๔๖ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๓ ให้การว่า เหตุคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑ ฝ – ๑๑๖๙ กรุงเทพมหานคร ฝ่ายเดียวหรือมีส่วนประมาทในครั้งนี้ด้วย จำเลยที่ ๑ ขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างดี เมื่อขับมาถึงที่เกิดเหตุสี่แยกสนามจันทร์ขณะนั้นไฟจราจรสีแดงให้รถจำเลยที่ ๑ หยุด จำเลยที่ ๑ ปฏิบัติตามสัญญาณไฟจราจร ผู้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑ ฝ – ๑๑๖๙ กรุงเทพมหานคร แล่นตามหลังมาในทิศทางเดียวกันด้วยความเร็วสูงปราศจากความระมัดระวัง ไม่ชะลอความเร็วและหยุดรถตามที่จำเลยที่ ๑ ขับ กลับเร่งความเร็วด้วยความประมาท เป็นเหตุให้พุ่งชนท้ายรถคันที่จำเลยที่ ๑ ขับอย่างแรง รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๑ ฝ – ๑๑๖๙ กรุงเทพมหานคร ได้รับความเสียหายเล็กน้อย ค่าซ่อมแซมไม่เกิน ๓๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๓ รับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ๘๙ – ๕๑๖๔ นครปฐม ไว้จากจำเลยที่ ๒ จริง แต่จำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิด โจทก์และจำเลยที่ ๓ มีสัญญาระงับข้อพิพาทกันโดยนำเสนอเรื่องต่อสำนักงานอนุญาโตตุลาการ โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการผิดสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน ๕๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๘ มกราคม ๒๕๓๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง (วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๙) ต้องไม่เกิน ๒,๘๘๐ บาท กับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๒,๕๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว คดีคงมีปัญหาตามฎีกาข้อกฎหมายของจำเลยที่ ๓ ประการเดียวว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๓ มีสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ การที่โจทก์นำคดีมาฟ้องจำเลยที่ ๓ จึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า ในกรณีที่มีข้อสัญญาอนุญาโตตุลาการกำหนดให้เสนอข้อพิพาททางแพ่งให้อนุญาโตตุลาการชี้ขาด หากคู่สัญญาฝ่ายใดนำคดีมาฟ้องโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่อนุญาโตตุลาการเสียก่อนตามสัญญา คู่สัญญาฝ่ายที่ถูกฟ้องก็อาจอาศัยอำนาจตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ.๒๕๓๐ ด้วยการยื่นคำร้องต่อศาลก่อนวันสืบพยาน หรือก่อนมีคำพิพากษาในกรณีที่ไม่มีการสืบพยาน ให้มีคำสั่งจำหน่ายคดีได้ แต่คดีนี้คงได้ความแต่เพียงว่าจำเลยที่ ๓ ให้การลอย ๆ อ้างว่ามีสัญญาอนุญาโตตุลาการ และมีนายสง่า ฮิมสกุล ผู้รับมอบอำนาจจำเลยที่ ๓ เบิกความเพียงว่าเมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องโดยมิได้เสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนย่อมทำให้คดีระงับ แต่จำเลยที่ ๓ มิได้แสดงพยานหลักฐานต่อศาลให้เห็นว่า กรณีมีสัญญาระงับข้อพิพาทอยู่จริงดังอ้าง ทั้งมิได้โต้แย้งการที่ศาลชั้นต้นไม่ทำการไต่สวนให้ปรากฏว่ากรณีมีสัญญาระงับข้อพิพาทอยู่หรือไม่ แต่กลับต่อสู้คดีตามประเด็นที่โจทก์ฟ้องตลอดมาโดยมิได้ส่งอ้างหนังสือสัญญาการระงับข้อพิพาทต่อศาลเพื่อขอให้จำหน่ายคดี จำเลยที่ ๓ เพิ่งจะส่งสำเนาสัญญาการระงับข้อพิพาทต่อศาลในชั้นยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นต่อศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ ๓ หาได้ประสงค์จะขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีตามบทบัญญัติดังกล่าวไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๗ พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า จำเลยที่ ๓ ไม่นำสืบให้เห็นว่ากรณีมีสัญญาการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ อันจะทำให้โจทก์ต้องเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการก่อนนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ ๓ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.
นายนพพร โพธิรังสิยากร ผู้ช่วยฯ
นางสาวสุดรัก สุขสว่าง ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายไมตรี ศรีอรุณ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ