คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5497/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอายัดสิทธิการเช่าโทรศัพท์พิพาทของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษานั้น ไม่ใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่งเมื่อจำเลยเป็นผู้เช่าโทรศัพท์ของผู้ร้อง การที่จะให้ใครเช่าโทรศัพท์จึงเป็นสิทธิของผู้ร้องสิทธิดังกล่าวของจำเลยจะมีอยู่หรือสิ้นไปย่อมเป็นไปตามสัญญาเช่าและกฎระเบียบของผู้ร้องตาม พ.ร.บ.องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ.2497 เมื่อจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าโทรศัพท์รายพิพาทให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องเคยมีหนังสือเตือนให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างแต่จำเลยไม่ชำระ ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเช่า และมีหนังสือแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบว่าได้เลิกสัญญาเช่าโทรศัพท์รายพิพาทกับจำเลยแล้ว สิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทที่จำเลยเคยมีสิทธิอยู่จึงหมดไป การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทภายหลังจากที่ผู้ร้องบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว ย่อมไม่มีผลตามกฎหมายที่จะบังคับให้ผู้ร้องโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทให้แก่ผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดได้ คำสั่งอายัดของศาลไม่มีผลคุ้มครองห้ามผู้ร้องบอกเลิกสัญญาการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทกับจำเลย

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๘ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินตามเช็คที่จำเลยสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าซื้อสินค้าแก่โจทก์ และยื่นคำร้องในกรณีฉุกเฉินอ้างว่าจำเลยกำลังขนย้ายทรัพย์สิน ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยึดอายัดสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข๒๘๙๔๖๘๕ ของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นให้อายัดสิทธิการเช่าโทรศัพท์ดังกล่าวตามคำขอของโจทก์และออกหมายอายัดชั่วคราวถึงจำเลยและผู้ร้อง ลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๘ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาชี้ขาดตัดสินคดีไปฝ่ายเดียว โดยพิพากษาให้จำเลยชำระเงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยแก่โจทก์
วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๒๘ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาตามคำขอของโจทก์
วันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๒๘ ศาลชั้นต้นได้รับหนังสือของผู้ร้องลงวันที่ ๓๐กรกฎาคม ๒๕๒๘ ว่า ผู้ร้องได้ตรวจสอบสิทธิการเช่าโทรศัพท์หมายเลข ๒๘๙๔๖๘๕ แล้วปรากฏว่าปัจจุบันเลขหมายดังกล่าวยังมิได้มีการเปลี่ยนแปลงนิติกรรมใด ๆ อนึ่ง ในการนี้มีค่าเช่าค้างถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๒๘ เป็นเงิน ๓,๑๔๖ บาท และอยู่ในระหว่างการรื้อถอนเนื่องจากค้างค่าเช่า โดยผู้ร้องได้แจ้งเลิกสัญญาเช่าตามหนังสือลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๘
วันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๒๘ ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีตามคำขอของโจทก์
วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๓๐ โจทก์ยื่นคำร้องว่านายสาธิต สิงห์โตทอง ซื้อสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายนี้ได้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตามคำสั่งศาลชั้นต้นในราคา ๘,๕๐๐ บาท แม้จำเลยติดค้างค่าเช่ารายเดือน ผู้ร้องก็ชอบที่จะเอาชำระจากเงินที่ผู้ซื้อสิทธิการเช่าชำระได้ การที่ผู้ร้องบอกเลิกการเช่าโทรศัพท์กับจำเลยภายหลังที่ได้อายัดสิทธิดังกล่าวชั่วคราวแล้ว เป็นเหตุให้เสื่อมเสียสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอก เพราะหากไม่มีการอายัดสิทธิการเช่าดังกล่าวผู้ร้องคงไม่บอกเลิกการเช่ากับจำเลย ผู้ร้องไม่เคยโต้แย้งการขายทอดตลาด เท่ากับรับให้มีการขายทอดตลาดไปได้ การขายทอดตลาดสมบูรณ์ ขอให้มีคำสั่งให้ผู้ร้องโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายนี้ให้นายสาธิต สิงห์โตทอง ผู้ซื้อต่อไป
ศาลชั้นต้นสั่งคำร้องดังกล่าวว่า กรณีตามคำร้องเป็นเรื่องที่โจทก์ต้องว่ากล่าวในชั้นบังคับคดี ให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องของโจทก์ แล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปคดี
ผู้ร้องยื่นคำคัดค้านว่า จำเลยค้างชำระค่าเช่าบริการโทรศัพท์ ผู้ร้องมีหนังสือเตือนแล้วจำเลยไม่ชำระ ผู้ร้องมีหนังสือแจ้งเลิกสัญญาไปยังจำเลยเมื่อวันที่ ๑๙ (ที่ถูก ๒๙)กรกฎาคม ๒๕๒๘ และแจ้งมายังศาลทราบแล้ว ก่อนการขายทอดตลาด ผู้ร้องปฏิบัติตามระเบียบผู้ร้องผู้ร้องไม่ทราบการขายทอดตลาด การโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์ไม่ได้ไม่ใช่ความผิดของผู้ร้อง ขอให้ยกคำร้องของโจทก์
ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่วินิจฉัยว่า โจทก์ขอให้ผู้ร้องโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทให้แก่ผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดได้หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้แม้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอายัดสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทของจำเลยไว้ชั่วคราวก่อนมีคำพิพากษาก็ตาม แต่คำสั่งห้ามชั่วคราวของศาลมิให้ทำนิติกรรมใด ๆ เกี่ยวกับโทรศัพท์รายพิพาทนั้นเป็นวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาเพื่อคุ้มครองป้องกันผลประโยชน์ของเจ้าหนี้ให้ได้รับผลตามคำพิพากษาโดยบริบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้ มิใช่เป็นส่วนหนึ่งของการบังคับคดีตามคำพิพากษาหรือคำสั่ง การที่ศาลแจ้งคำสั่งอายัดให้ผู้ร้องทราบก็เพื่อมิให้รับหรือยอมให้มีการทำนิติกรรมใด ๆ ที่จำเลยจะลักลอบกระทำโดยไม่สุจริตเกี่ยวกับสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาท จำเลยเป็นผู้เช่าโทรศัพท์ของผู้ร้องการที่จะให้ใครเช่าโทรศัพท์นั้นเป็นสิทธิของผู้ร้อง จำเลยเพียงได้สิทธิการเช่าโทรศัพท์นั้นมาเพราะผู้ร้องให้เช่าเท่านั้น สิทธิดังกล่าวของจำเลยจะมีอยู่หรือสิ้นไปย่อมเป็นไปตามสัญญาเช่าและกฎระเบียบของผู้ร้องซึ่งกำหนดขึ้นโดยชอบตามกฎหมายที่ผู้ร้องต้องถือปฏิบัติ คือพระราชบัญญัติองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย พ.ศ.๒๔๙๗ เมื่อปรากฏว่าจำเลยไม่ได้ชำระค่าเช่าโทรศัพท์รายพิพาทให้แก่ผู้ร้องตั้งแต่เดือนธันวาคม ๒๕๒๗ เรื่อยมา ผู้ร้องเคยมีหนังสือเตือนให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างภายใน ๓๐ วัน แต่จำเลยไม่ชำระ ผู้ร้องจึงบอกเลิกสัญญาเช่าโทรศัพท์รายพิพาทกับจำเลยตามระเบียบของผู้ร้องโดยหนังสือลงวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๘ และมีหนังสือแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๒๘ ว่า ได้เลิกสัญญาเช่าโทรศัพท์รายพิพาทกับจำเลยแล้ว โทรศัพท์รายพิพาทเป็นของผู้ร้อง เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระค่าเช่าแก่ผู้ร้องจนผู้ร้องได้บอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยเช่นนี้ สิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทที่จำเลยเคยมีสิทธิอยู่จึงหมดไปเพราะการเลิกสัญญาดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทภายหลังจากที่ผู้ร้องบอกเลิกสัญญาเช่ากับจำเลยแล้ว ย่อมไม่มีผลตามกฎหมายที่จะบังคับให้ผู้ร้องโอนสิทธิการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทให้แก่ผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดได้คำสั่งอายัดของศาลไม่มีผลคุ้มครองห้ามผู้ร้องบอกเลิกสัญญาการเช่าโทรศัพท์รายพิพาทกับจำเลยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share