แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีที่โจทก์ต่างผ่ายต่างฟ้องจำเลยคนเดียวกันในกรณีอันเดียวกันขอให้ลงโทษในความผิดฐานเดียวกัน ศาลได้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกันนั้นเมื่อพะยานของโจทก์ทั้งสองคดีนั้นเป็นคนเดียวกัน โดยมากแล้วพะยานโจทก์ในคดีที่ได้สืบไปนั้น ยอมเป็นพะยานของ โจทก์อีคดีหนึ่งด้วย
ย่อยาว
อัยยการเป็นโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองนี้ฐานทำร้ายร่างการนายต้อง ปลอดเพ็ง บาดเจ็บสาหัสสำนวนหนึ่ง และนายต้องปลอดเพ็งได้เป็นโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองนี้หาว่าทำร้ายร่างกายโจทก์เช่นเดียวกับที่อัยยการฟ้องอีกสำนวนหนึ่ง ศาลชั้นต้นได้ พิจารณาสำนวนที่นายต้องเป็นโจทก์รวมกับคดีที่อัยยการ เป็น โจทก์ส่วนคดีนายต้องเป็น โจทก์นายต้องมิได้นำสืบพะยานเลย
ศาลชั้นต้นไม่เชื่อพะยานโจทก์ว่า จำเลยทำผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
นายต้องโจทก์ อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าคดีที่นายต้องเป็น โจทก์ฟ้องนั้นมิได้สืบพะยานเลยคงมีแต่คำนายต้องเบิกความเป็นพะยานอัยยการโจทก์เท่านั้น ไม่เป็นหลักฐานจะ ลงโทษ จำเลยตามฟ้อง พิพากษายืน
นายต้อง โจทก์ ฎีกาเป็นข้อ กฎหมายว่า กรณีนี้กับที่อัยยการเป็น โจทก์เป็นกรณีเดียวกันพะยานของอัยยการและของนายต้อง โจทก์ ก็เป็นคนคนเดียวกัน เมื่อศาลรวมพิจารณาแล้วพะยานโจทก์ในสำนวนอัยยการ เป็นโจทก์ก็เท่ากับเป็นพะยานโจทก์ในคดีนี้ โจทก์ไม่จำต้องนำพะยานสืบใหม่อีก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้กับคดีที่ อัยยการเป็นโจทก์เป็นกรณีเดียวกัน ศาลชั้นต้นจึงสั่ง พิจารณารวมกันและพะยานโจทก์ทั้งสองคดีก็เป็นคนคนเดียวกันโดยมาก นายต้องก็ได้อ้างระบุพะยานที่ได้มาสืบในคดีด้วยแล้วเป็นส่วนมาก และในขณสืบพะยานนั้น ๆ ศาลชั้นต้นก็ได้ถือเป็นสองคดีตลอดมา ฉะนั้น จึงเห็นว่าพะยานโจทก์ที่สืบไปแล้วส่วนมากนั้นเป็นพะยานผู้เสียหายในคดีนี้ด้วย เมื่อพิจารณาพะยานหลักฐานแล้วเห็นว่าไม่พอลงโทษจำเลย จึง พิพากษายืนตามศาลล่าง