คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5972/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิม อ.เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาถึงที่สุด ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้เข้าเป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำนวนดังกล่าวในศาล จำเลยที่ 1 ได้ตกลงกับโจทก์ขอลดความรับผิดลงแล้วมอบเช็คซึ่งจำเลยที่ 2 สั่งจ่ายให้โจทก์ โดยให้โจทก์ดำเนินการบังคับคดีต่อไป หากในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของ อ.ได้เงินไม่ถึง 10,000 บาท จำเลยที่ 1 จะจ่ายเงินให้โจทก์ให้ครบ 10,000 บาทถ้าขายทอดตลาดได้เงินกว่า 10,000 บาท โจทก์จะคืนเช็คของจำเลยที่ 2 ให้แก่จำเลยที่ 1ดังนี้ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อสงวนสิทธิของโจทก์ในการที่จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาเอาจากทรัพย์สินของ อ. ที่โจทก์ได้นำยึดและอายัดไว้แล้วเท่านั้น มิใช่ข้อความที่บังคับไว้ให้โจทก์เกิดสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ ต่อเมื่อมีเหตุการณ์ขายทอดตลาดทรัพย์สินของ อ.เกิดขึ้นหรือต่อเมื่อมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินของ อ.แล้วได้เงินไม่ถึง 10,000 บาท เกิดขึ้นเสียก่อนไม่ข้อตกลงดังกล่าวจึงมิใช่นิติกรรมที่มีเงื่อนไขบังคับก่อนอันจะทำให้นิติกรรมเป็นผลต่อเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้วตามที่ ป.พ.พ. มาตรา 1435 บัญญัติไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาทให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยทั้งสองทำบันทึกตกลงรับผิดแก่โจทก์ แต่ข้อตกลงมีเงื่อนไขบังคับก่อน ซึ่งโจทก์มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข จำเลยทั้งสองจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๙,๘๒๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ตามคำฟ้องในส่วนที่จำเลยทั้งสองมิได้ให้การปฏิเสธประกอบเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ที่คู่ความรับกันและข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนสรุปได้ว่า นางอนงค์เป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วรวมเป็นเงิน ๒๓๐,๐๐๐ บาทเศษ จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ค้ำประกันหนี้จำนวนดังกล่าวในศาล โจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์สินของนางอนงค์กับของจำเลยที่ ๑ เพื่อจะขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา จำเลยที่ ๑ จึงได้ตกลงกับโจทก์เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๒๙ขอลดความรับผิดลงเหลือ ๒๑๐,๐๐๐ บาท แล้วได้มอบแคชเชียร์เช็คจำนวน ๒๐๐,๐๐๐ บาทกับเช็คที่จำเลย ที่ ๒ เป็นผู้สั่งจ่ายเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐ บาท ลงวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๒๙ให้แก่โจทก์ไว้ตามมูลหนี้ดังกล่าวในวันทำสัญญา โจทก์ตกลงจะถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ ๑ต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๙ โดยจำเลยที่ ๑ ตกลงจะเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการถอนการยึดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ส่วนทรัพย์สินของนางอนงค์นั้นโจทก์จะดำเนินการบังคับคดีต่อไป หากในการขายทอดตลาดทรัพย์สินของนางอนงค์ได้เงินไม่ถึง๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ จะจ่ายเงินให้โจทก์ให้ครบ ๑๐,๐๐๐ บาท ถ้าขายทอดตลาดได้เงินกว่า ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์จะคืนเช็คของจำเลยที่ ๒ ให้แก่จำเลยที่ ๑ ดังนี้ เห็นว่าโจทก์มีสิทธิที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาท ได้ตามมูลหนี้เดิมที่จำเลยที่ ๑ ขอลดลง และจากเช็คทั้งสองฉบับที่จำเลยที่ ๑ มอบแก่โจทก์เป็นการชำระหนี้ตามมูลหนี้ดังกล่าวได้อยู่แล้ว เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ หาได้กำหนดเงื่อนไขไว้ว่าหากมีการขายทอดตลาดทรัพย์ของนางอนงค์เกิดขึ้นจำเลยที่ ๑ จึงจะรับผิดชำระเงินจำนวน๒๑๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ หรือหากขายทอดตลาดทรัพย์ของนางอนงค์แล้วได้เงินไม่ถึง๑๐,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ จึงจะรับผิดชำระเงินจำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ ข้อความในบันทึกเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ที่ว่า ส่วนทรัพย์สินของนางอนงค์ที่โจทก์ยึดและอายัดไว้โจทก์จะดำเนินการบังคับคดีขายทอดตลาดเอาเงินมาชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามคำพิพากษาของศาลรวมทั้งค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีต่อไปนั้น เป็นเพียงข้อสงวนสิทธิของโจทก์ในการที่จะบังคับชำระหนี้ตามคำพิพากษาเอาจากทรัพย์สินของนางอนงค์ที่โจทก์ได้นำยึดและอายัดไว้แล้วเท่านั้นมิใช่ข้อความที่บังคับไว้ให้โจทก์เกิดสิทธิเรียกร้องให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้จำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาทต่อเมื่อมีเหตุการณ์ขายทอดตลาดทรัพย์สินของนางอนงค์เกิดขึ้นหรือต่อเมื่อมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินของนางอนงค์แล้วได้เงินไม่ถึง ๑๐,๐๐๐ บาท เกิดขึ้นเสียก่อนไม่ บันทึกข้อตกลงตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ จึงมิใช่นิติกรรมที่มีเงื่อนไขเป็นเงื่อนไขบังคับก่อนอันจะทำให้นิติกรรมเป็นผลต่อเมื่อเงื่อนไขนั้นสำเร็จแล้วตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๕บัญญัติไว้
พิพากษายืน โจทก์มิได้แก้ฎีกาจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้.

Share