แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยพาผู้เสียหายและนางสาวพ. ขึ้นรถจากอำเภอก. ไปลงที่สี่แยกอำเภอน.พบผู้หญิงคนหนึ่งรออยู่ จำเลยลงจากรถไปพบพูดกับผู้หญิงนั้นถึงครึ่งชั่วโมง โดยผู้เสียหายไม่รู้ถึง เรื่องที่พูดจากัน แล้วจำเลยให้ผู้เสียหายและนางสาวพ. ไปกับผู้หญิงนั้น ผู้หญิงคนนั้นพาผู้เสียหายและนางสาวพ. ตระเวนไปตามแหล่งที่มีผู้หญิงค้าประเวณีและพาไปที่ ซ่องโสเภณี ดังนี้ พฤติการณ์เห็นได้ว่าผู้หญิงคนนั้นมิใช่เจตนาพาไปหางานที่สุจริต แต่เป็นการพาไปเพื่อให้ผู้เสียหายค้าประเวณีอันอยู่ในความหมายของคำว่าพาไปเพื่อการอนาจาร และจำเลยกับผู้หญิงนั้นได้นัดหมายกันไว้ล่วงหน้าแล้ว และหากจำเลยมีเจตนาพาผู้เสียหายไปทำงานสุจริต ก็น่าจะพูดจากับผู้หญิงที่มารับตัวต่อหน้าผู้เสียหายให้ได้รับรู้ด้วย พฤติการณ์ของจำเลยที่ได้นัดหมายกับผู้หญิงคนนั้นให้มารับตัวผู้เสียหาย และได้มีการพูดจากันเป็นส่วนตัวก่อนที่จะพาผู้เสียหายไปเช่นนี้เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยย่อมรู้แล้วว่า ผู้หญิงคนนั้นจะพาผู้เสียหายไปเพื่อการใดถือได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการหลอกลวงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นตัวการในการกระทำผิดด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 283 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 4
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 283 (ที่ถูกเป็นมาตรา 283 วรรคสอง) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2525 มาตรา 4ให้จำคุกจำเลย 8 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบโดยจำเลยมิได้นำสืบหักล้างและที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมายุติว่า ผู้เสียหายและจำเลยเป็นญาติกัน ขณะเกิดเหตุผู้เสียหายอายุยังไม่เกิน 18 ปีตามวันเวลาเกิดเหตุ จำเลยได้ชักชวนผู้เสียหายไปทำงานที่จังหวัดอุดรธานี แต่ไปส่งผู้เสียหายที่อำเภอน้ำพอง แล้วให้ผู้หญิงอีกคนหนึ่งพาผู้เสียหายไปยังจังหวัดอุดรธานีแทน ขณะที่ผู้เสียหายอยู่จังหวัดอุดรธานี ผู้หญิงคนนั้นพาผู้เสียหายและนางสาวไพตระเวนไปหางานทำตามแหล่งที่มีผู้หญิงค้าประเวณีในที่สุดผู้เสียหายและนางสาวไพถูกหลอกลวงและบังคับให้ไปค้าประเวณีที่ซ่องโสเภณีอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี คดีมีปัญหาวินิจฉัยว่าจำเลยได้ร่วมหลอกลวงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่จะชี้ให้เห็นว่าจำเลยได้ร่วมหลอกลวงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจารหรือไม่ ก็คือ การที่จำเลยพาผู้เสียหายและนางสาวไพไปจากอำเภอกระนวน และให้ผู้เสียหายกับนางสาวไพไปกับผู้หญิงอีกคนหนึ่งที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นเพื่อพาไปจังหวัดอุดรธานีนั้น จำเลยรู้หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะพาผู้เสียหายไปเพื่อการใด เห็นว่า การที่ผู้หญิงคนที่รับตัวผู้เสียหายกับนางสาวไพไปที่จังหวัดอุดรธานีนั้น ข้อเท็จจริงยุติว่าผู้หญิงคนนั้นได้พาผู้เสียหายและนางสาวไพไปหางานตามแหล่งที่มีผู้หญิงค้าประเวณี และในที่สุดได้หลอกลวงผู้เสียหายให้ไปถูกบังคับให้ค้าประเวณีที่ซ่องโสเภณีอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีการที่ผู้หญิงคนนั้นพาผู้เสียหายตระเวนไปตามแหล่งที่มีผู้หญิงค้าประเวณีก็ดี และพาไปที่ซ่องโสเภณีอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรีก็ดี เป็นข้อแสดงให้เห็นว่ามิใช่เจตนาพาไปหางานที่สุจริตแต่เป็นการพาไปเพื่อให้ผู้เสียหายรับจ้างค้าประเวณี อันอยู่ในความหมายของคำว่าพาไปเพื่อการอนาจาร ส่วนจำเลยจะรู้มาก่อนหรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะพาผู้เสียหายไปเพื่อการดังกล่าว ในข้อนี้ได้ความจากคำเบิกความของผู้เสียหายในตอนหนึ่งว่า”จำเลยพาข้าฯ และนางสาวไพขึ้นรถจากอำเภอกระนวนมาลงที่อำเภอน้ำพอง เป็นทางแยก ได้พบผู้หญิงคนหนึ่งที่รออยู่ ข้าฯไม่รู้จักชื่อ จำเลยบอกให้ไปกับผู้หญิงคนนั้นก่อน ส่วนจำเลยมีธุระบอกว่าจะพาไปจังหวัดอุดรธานี จำเลยได้พูดกับผู้หญิงคนนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ไม่รู้ว่าพูดอะไร เมื่อจำเลยกับไปแล้วข้าฯ กับนางสาวไพและผู้หญิงคนนั้นขึ้นรถไปจังหวัดอุดรธานีเมื่อไปถึงผู้หญิงคนนั้นบอกว่าจะพาไปพักที่บ้านหญิงนั้นพาข้าฯไปหางานทำ โดยพาไปหาตรงที่มีบ้านยาว ๆ มีห้องกระจกมีผู้หญิงนั่งอยู่ ข้าฯ ไม่คิดว่าหญิงเหล่านั้นเป็นผู้หญิงหาเงิน”ตามคำเบิกความของผู้เสียหายดังกล่าวนี้ จากข้อเท็จจริงที่ยุติว่าผู้เสียหายเป็นญาติกับจำเลย จึงไม่มีเหตุสงสัยว่าผู้เสียหายจะเบิกความเพื่อปรักปรำให้ร้ายจำเลย การที่ผู้หญิงคนนั้นมารออยู่ที่สี่แยกอำเภอน้ำพอง และจำเลยลงจากรถไปพบผู้หญิงที่รออยู่เช่นนั้น เป็นข้อแสดงให้เห็นว่าจำเลยกับผู้หญิงคนนั้นได้มีการนัดหมายกันไว้ล่วงหน้าแล้ว มิใช่เหตุบังเอิญไปพบกันโดยมิได้นัดหมาย และเมื่อพบกันแล้วจำเลยก็ให้ผู้เสียหายและนางสาวไพไปกับผู้หญิงคนนั้นโดยจำเลยมิได้ไปด้วย ก่อนที่จะไปก็ได้มีการพูดจากันระหว่างผู้หญิงคนนั้นกับจำเลยถึงครึ่งชั่วโมง โดยผู้เสียหายไม่รู้ถึงเรื่องที่พูดจากันระหว่างสองคนนั้น ถ้าจำเลยมีเจตนาที่พาผู้เสียหายไปทำงานที่สุจริตจริงก็น่าที่จะได้พูดจากันต่อหน้าผู้เสียหายให้ได้รับรู้ด้วย เพราะการที่จำเลยพาผู้เสียหายไปนั้นเป็นเรื่องของผู้เสียหายโดยตรงพฤติการณ์ของจำเลยที่ได้นัดหมายผู้หญิงคนนั้นให้มารับตัวผู้เสียหายและได้มีการพูดจากันเป็นส่วนตัวก่อนที่จะพาผู้เสียหายไปเช่นนี้ เป็นข้อบ่งชี้ให้เห็นว่าจำเลยย่อมรู้อยู่แล้วว่าผู้หญิงคนนั้นจะพาผู้เสียหายไปเพื่อการใด ถือได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมในการหลอกลวงผู้เสียหายไปเพื่อการอนาจาร อันเป็นตัวการในการกระทำผิดด้วย ขณะที่เกิดเหตุที่ผู้เสียหายอายุยังไม่เกิน 18 ปี การกระทำของจำเลยจึงต้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 283 วรรคสอง ข้อนำสืบของจำเลยที่อ้างว่าพาผู้เสียหายไปฝากทำงานที่ร้านทำขนมจีนของนายคำมีนั้น ก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของนายคำมีที่จำเลยอ้างมาเป็นพยานว่าจำเลยได้พาผู้เสียหายไปฝากทำงานดังกล่าวพยานหลักฐานของจำเลยจึงไม่อาจฟังหักล้างพยานโจทก์ที่นำสืบมาให้เห็นโดยปราศจากสงสัยได้”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น