แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ 17419ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม บางส่วน เนื้อที่300 ตารางวา ในราคาตารางวาละ 350 บาท ตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์แม้เจ้าพนักงานจะออกใบแทนโฉนดดังกล่าวระบุว่าตำบลสระน้ำจัน แต่รูปแผนที่ยังเหมือนเดิมทุกประการ แสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามคำพิพากษาดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานเขียนตำบลในใบแทนโฉนดที่ดินเปลี่ยนไป อาจเกิดขึ้นโดยคลาดเคลื่อนก็มิใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะเจ้าหน้าที่สามารถจดทะเบียนให้ได้ เนื่องจากหมายเลขโฉนดตรงกัน สำหรับจำนวนเนื้อที่ 300 ตารางวา ตามรูปแผนที่ท้ายฟ้อง แม้คำพิพากษาจะมิได้กำหนดความกว้างและความยาวเอาไว้ แต่ก็ปรากฏชัดอยู่ในแผนที่พิพาทที่โจทก์จำเลยนำชี้แนวเขตซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 299 ตารางวา ที่ดินพิพาทจึงมีเนื้อที่ใกล้เคียงกับที่คู่ความพิพาทกันตามคำพิพากษาดังกล่าว และรูปแผนที่ท้ายฟ้องมากที่สุด คำพิพากษาดังกล่าวจึงอยู่ในวิสัยจะบังคับคดีได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาฎีกาที่พิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม บางส่วนเนื้อที่ ๓๐๐ตารางวา ในราคาตารางวาละ ๓๕๐ บาท ตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องให้แก่โจทก์
จำเลยยื่นคำแถลงว่า จำเลยไม่สามารถปฏิบัติตามคำบังคับโดยสุจริตได้ เพราะที่ดินโฉนดดังกล่าวไม่ใช่เป็นของจำเลย จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินในตำบลสนามจันทร์ และคำพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่ดินตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องจำนวน ๓๐๐ ตารางวานั้น หากวัดกะระยะความกว้างยาวตามรูปแผนที่ท้ายฟ้อง จะได้รูปแผนที่ตามที่จำเลยแนบท้ายคำแถลง ซึ่งจะได้เนื้อที่ประมาณ๙๒ ตารางวาเท่านั้น หากโจทก์ยอมรับ จำเลยก็ยินดีโอนขายให้ การบังคับให้จำเลยโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ ตำบลพระปฐมเจดีย์ เนื้อที่ ๓๐๐ ตารางวาเป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะปฏิบัติได้
โจทก์แถลงรับว่า มีปัญหาในการบังคับคดีตามคำพิพากษาฎีกากล่าวคือ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนขายที่ดิน ๒ โฉนด แต่ศาลฎีกาพิพากษาให้โอนขายเฉพาะโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ เพียงโฉนดเดียว หากบังคับตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องแล้วจะได้เนื้อที่ไม่ครบ ๓๐๐ ตารางวา ตามคำพิพากษาฎีกา และจะไม่ตรงตามรูปแผนที่ท้ายฟ้อง ดังปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๐
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งบังคับให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ขายที่ดินตามรูปแผนที่พิพาทในโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ ตำบลสนามจันทร์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม ในเส้นสีแดงดำ เนื้อที่รอบ ๆ บ้านโจทก์จำนวน ๒๙๙ตารางวา ให้แก่โจทก์ในราคาตารางวาละ ๓๕๐ บาท ให้จำเลยปฏิบัติตามคำบังคับภายใน ๓๐ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยในชั้นนี้ว่า จำเลยสามารถปฏิบัติตามคำบังคับซึ่งออกตามคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๖๔/๒๕๓๐ ได้หรือไม่เห็นว่า ตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว ให้จำเลยโอนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม บางส่วนเนื้อที่๓๐๐ ตารางวา ในราคาตารางวาละ ๓๕๐ บาท ตามรูปแแผนที่ท้ายฟ้อง ในชั้นบังคับคดีจำเลยอ้างว่าที่ดินของจำเลยขึ้นอยู่กับตำบลสนามจันทร์ เป็นที่ดินคนละตำบลกัน เป็นการพ้นวิสัยที่จำเลยจะปฏิบัติตามคำพิพากษาได้ ปรากฏว่าที่ดินที่จำเลยต้องโอนขายให้แก่โจทก์คือที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ ซึ่งโจทก์จำเลยนำชี้ทำแผนที่พิพาทระบุว่าที่ดินพิพาทอยู่ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐมจังหวัดนครปฐม และภาพถ่ายโฉนดที่ดินฉบับสำนักงานที่ดินก็ระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ ๑๗๔๑๙ ตำบลพระปฐมเจดีย์ อำเภอเมืองนครปฐม จังหวัดนครปฐม และภาพถ่ายโฉนดที่ดินฉบับสำนักงานที่ดินก็ระบุว่า โฉนดที่ดินเลขที่ ๑๗๔๑๙ ตำบลพระปฐมเจดีย์ (สระน้ำจัน) อำเภอเมืองนครปฐม (พระปฐมเจดีย์) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี) เมื่อเจ้าพนักงานออกใบแทนโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๗๔๑๙กลับระบุว่าตำบลสระน้ำจัน ตามคำแถลงของจำเลยลงวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๓๐แต่รูปแผนที่ก็ยังเหมือนเดิมทุกประการ แสดงว่าที่ดินพิพาทเป็นที่ดินตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว การที่เจ้าพนักงานเขียนตำบลในใบแทนโฉนดที่ดินเปลี่ยนไปอาจเกิดขึ้นโดยคลาดเคลื่อนก็มิใช่ข้อสาระสำคัญ เพราะนายไพศาล กาญจนประพันธ์พยานโจทก์ชั้นไต่สวนได้เบิกความว่า พยานเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดนครปฐม ที่ดินในเขตเทศบาลเมืองนครปฐม บางส่วนขึ้นกับตำบลสนามจันทร์บางส่วนขึ้นกับตำบลพระปฐมเจดีย์ โฉนดที่ดินเดิมที่เป็นตำบลสนามจันทร์และต่อมาเปลี่ยนเป็นตำบลพระปฐมเจดีย์ก็มี แม้ว่าตำบลในโฉนดที่ดินไม่ตรงกับคำพิพากษาเจ้าหน้าที่ก็สามารถจดทะเบียนให้ได้เพราะเลขโฉนดตรงกัน ดังนั้น ข้ออ้างของจำเลยที่ว่าที่ดินพิพาทเป็นคนละตำบลกันย่อมฟังไม่ขึ้น สำหรับจำนวนเนื้อที่๓๐๐ ตารางวา ตามรูปแผนที่ท้ายฟ้องซึ่งระบุไว้ในคำพิพากษาฎีกาดังกล่าวแม้จะมิได้กำหนดความกว้าง ความยาวไว้ก็ปรากฏชัดอยู่ในแผนที่พิพาทที่โจทก์จำเลยนำชี้อยู่แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นออกไปเผชิญสืบดูที่ดินพิพาท คู่ความทั้งสองฝ่ายได้นำชี้แนวเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ เป็นรูปงอโค้งรอบบ้านโจทก์ มีเนื้อที่ประมาณ ๒๙๙ ตารางวา ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม๒๕๓๑ ที่ดินพิพาทจึงมีเนื้อที่ใกล้เคียงกับที่คู่ความพิพาทกันตามคำพิพากษาฎีกาดังกล่าว และรูปแผนที่ท้ายฟ้องมากที่สุด คำพิพากษาฎีกาดังกล่าวจึงอยู่ในวิสัยที่บังคับคดีได้ จำเลยต้องปฏิบัติตามคำบังคับที่ออกโดยศาลชั้นต้น มีผลให้จำเลยต้องไปจดทะเบียนโอนขายกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๔๑๙ ตามคำพิพากษาศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.