คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 75/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

++ เรื่อง ความผิดต่อเจ้าพนักงานในการยุติธรรม ++
++
++ ทดสอบการทำงานในระบบ CW เพื่อค้นหาข้อมูลทาง online ++
++ ย่อข้อกฎหมายอย่างไม่เป็นทางการ
++ ขอชุดตรวจได้ที่งานย่อข้อกฎหมายระบบ CW โถงกลางชั้น 3 ++
++
++
คดีที่จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของ ม.ผู้ตายมีประเด็นว่าจำเลยเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลและมีเหตุที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตาม ป.พ.พ.มาตรา 1713 หรือไม่ กับจำเลยเป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา 1728 หรือไม่ ส่วนข้อที่ว่า ม.มีทรัพย์มรดกอะไรบ้างจำนวนเท่าใด ไม่ใช่ประเด็นในคดีดังกล่าว การที่จำเลยเบิกความเท็จว่าบ้านเป็นของม. จึงมิใช่ข้อสำคัญในคดี ไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๙ เวลากลางวันจำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกต่อศาลแพ่งธนบุรี คดีหมายเลขแดงที่ ๕๐๐๘/๒๕๓๙ โดยจำเลยเบิกความว่า จำเลยเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของนายมานพ ประสิทธิ์ และนางอำไพวรรณประสิทธิ์ ซึ่งมีบุตร ๓ คน บิดาและมารดาของนายมานพถึงแก่กรรมนานแล้ว เมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๒๒ นายมานพถึงแก่กรรมด้วยโรคความดันโลหิตสูง ก่อนถึงแก่กรรมผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมหรือตั้งผู้ใดเป็นผู้จัดการมรดก แต่มีทรัพย์มรดก คือ บ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓แขวงบางพลัด เขตบางพลัด (ที่ถูกเป็นเขตบางกอกน้อย) กรุงเทพมหานครคำเบิกความของจำเลยดังกล่าวเป็นความเท็จที่เป็นข้อสำคัญในคดี เพราะขณะจำเลยเบิกความ นายมานพไม่ใช่เจ้าของบ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓ แต่ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คือ นายปริญญา อังกุราภินันท์ ซึ่งซื้อบ้านดังกล่าวมาจากการขายทอดตลาดของกรมสรรพากรตั้งแต่วันที่ ๒๘ มกราคม๒๕๓๑ ศาลแพ่งธนบุรีเชื่อคำเบิกความเท็จของจำเลยจึงมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายมานพ ต่อมาจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายบ้านดังกล่าวให้แก่ผู้อื่น เป็นเหตุให้นายปริญญาได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายปริญญา อังกุราภินันท์ ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗ วรรคแรก จำคุก ๑ ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นบุตรนายมานพ ประสิทธิ์ และนางอำไพวรรณประสิทธิ์ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๘ สำนักงานสรรพากรกรุงเทพมหานครได้ออกประกาศว่าจะทำการขายทอดตลาดบ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓ ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางพลัด เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นทรัพย์สินของนางอำไพวรรณในฐานะหุ้นส่วนไม่จำกัดความรับผิดของห้างหุ้นส่วนจำกัดนพวรรณก่อสร้าง ผู้ค้างภาษีอากร โดยจะขายทอดตลาดเฉพาะตัวบ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓ เนื่องจากปลูกในที่ดินธรณีสงฆ์วัดอาวุธวิกสิตตารามผู้ใดซื้อได้ให้รื้อไปหรือติดต่อกับวัด ในที่สุดโจทก์ร่วมประมูลซื้อได้ และได้ทำสัญญาซื้อขายกันที่สำนักงานเขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ ๒๘มกราคม ๒๕๓๑ ตามหนังสือสัญญาขายบ้านเอกสารหมาย จ.๒ ก่อนและหลังจากการขายทอดตลาดจำเลยได้พักอาศัยอยู่ที่บ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓ มาโดยตลอดจนกระทั่งวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๓๙ จำเลยทำสัญญาจะขายบ้านเลขที่๕๑๑/๘๓ ให้แก่นางสาวเพ็ญณี จีรวัฒนาวงศ์ ตามสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.๓ ต่อมาวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๙ จำเลยเบิกความต่อศาลแพ่งธนบุรีในคดีหมายเลขดำที่ ๔๘๓๖/๒๕๓๙ ที่จำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายมานพผู้ตายว่า นายมานพบิดาจำเลยถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๒๒ ก่อนถึงแก่กรรมนายมานพเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓ ตามสำเนาคำให้การพยานเอกสารหมาย จ.๔ ในที่สุดศาลแพ่งธนบุรีมีคำสั่งตั้งจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายมานพ ตามสำเนาคำสั่งคดีหมายเลขแดงที่ ๕๐๐๘/๒๕๓๙ของศาลแพ่งธนบุรีเอกสารหมาย จ.๕ หลังจากนั้นจำเลยนำสำเนาคำสั่งดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าหน้าที่สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานครสาขาบางกอกน้อย เพื่อโอนขายบ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓ ให้แก่นางสาวเพ็ญณีโจทก์ร่วมทราบเรื่องจึงไปคัดค้าน ทำให้จำเลยไม่สามารถโอนขายบ้านดังกล่าวได้ มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยได้กระทำผิดฐานเบิกความเท็จตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่าในคดีหมายเลขดำที่ ๔๘๓๖/๒๕๓๙ คดีหมายเลขแดงที่ ๕๐๐๘/๒๕๓๙ ของศาลแพ่งธนบุรี ซึ่งจำเลยเป็นผู้ร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายมานพผู้ตาย ประเด็นในคดีมีว่า จำเลยเป็นทายาทหรือผู้มีส่วนได้เสียที่จะมีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาลและมีเหตุที่จะแต่งตั้งผู้จัดการมรดกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๗๑๓ หรือไม่ และจำเลยเป็นบุคคลต้องห้ามที่จะเป็นผู้จัดการมรดกตามมาตรา ๑๗๑๘ หรือไม่ ส่วนที่ว่านายมานพเจ้ามรดกมีทรัพย์มรดกอะไรบ้าง จำนวนเท่าใดนั้น ไม่ใช่ประเด็นในคดีดังกล่าวดังนั้น แม้จำเลยจะเบิกความหรือแสดงหลักฐานว่าบ้านเลขที่ ๕๑๑/๘๓ เป็นของนายมานพผู้ตายซึ่งเป็นความเท็จ เพราะขณะจำเลยเบิกความนายมานพไม่ใช่เจ้าของบ้านหลังนี้ แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของคือโจทก์ร่วมก็ตาม คำเบิกความของจำเลยดังกล่าวก็หาใช่ข้อสำคัญในคดีไม่การกระทำของจำเลยจึงไม่มีความผิดฐานเบิกความเท็จ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยฐานเบิกความเท็จมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง.

Share