แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ที่ดินของโจทก์และจำเลยแบ่งแยกออกจากที่ดินแปลงเดียวกันแต่ที่ดินของโจทก์มีที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะ โจทก์ย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดทางสาธารณะไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โดยไม่ต้องคำนึงว่า ข้อตกลงที่จะเปิดทางเพื่อใช้เป็นทางออก สู่ทางสาธารณะที่โจทก์จำเลยได้ตกลงกันไว้ด้วยวาจาจะใช้บังคับได้หรือไม่
ตามคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์ได้ขอเปิดทางจำเป็นกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา ให้เปิดทางจำเป็นกว้าง 3 เมตร จึงเป็นการตัดสินตามข้อหาในคำฟ้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 มิได้วินิจฉัยนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 7524 โจทก์ที่ 2 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23804 โจทก์ที่ 3 เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23805 โจทก์ที่ 4 เคยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23806 และ 23807 แต่ได้ขายฝากแก่นายวิวัฒน์ ผสมทรัพย์ ครบกำหนดไถ่ถอนวันที่ 7 มีนาคม 2539 ส่วนจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23802 และ 23803 ที่ดินทุกแปลงข้างต้นเดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวกันโดยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 7524 ซึ่งเป็นของพลตรีชาญ วุฒิรณประมวลชน เมื่อปี 2515 พลตรีชาญได้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 7524 ออกเป็นแปลงย่อยรวม 7 แปลง เป็นโฉนดเลขที่ต่าง ๆ ตามฟ้องข้างต้นและนำออกขาย ผู้ซื้อที่ดินจากพลตรีชาญต่างตกลงเปิดทางออกทางด้านทิศใต้ของที่ดินกว้าง 3 เมตร ยาวตลอดหน้าที่ดินแต่ละคนเพื่อทำเป็นทางเข้าออกสำหรับรถยนต์ของทุกคนโดยมิได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ โจทก์ทั้งสี่และจำเลยต่างเป็นผู้รับโอนที่ดินจากเจ้าของเดิม ก่อนฟ้องโจทก์ทั้งสี่และผู้ที่เกี่ยวข้องเคยติดต่อจำเลยซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 23803 และเป็นที่ดินแปลงที่อยู่ทางด้านทิศใต้ติดถนนซอยเพื่อจดทะเบียนแบ่งที่ดินด้านทิศใต้เป็นทางกว้าง 3 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร แต่จำเลยเรียกร้องเงินค่าทำทางผ่าน โจทก์ทั้งสี่ไม่ยินยอมเพราะผิดข้อตกลงแต่เดิม ขอให้จำเลยเปิดทางจำเป็นในที่ดินโฉนดเลขที่ 23803 ตามที่ตกลงกันไว้ โดยให้จำเลยจดทะเบียนเปิดทางด้านทิศใต้กว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 15 เมตร ในที่ดินโฉนดเลขที่ 23803 ตำบลตลาดบางเขน (กูบแดง) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานครเพื่อเป็นทางออกของที่ดินโฉนดเลขที่ 7524, 23804, 23805, 23806 และ 23807 ของโจทก์ทั้งสี่ หากจำเลยไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาแทน
จำเลยให้การว่า โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยเปิดทางพิพาทโดยอ้างความจำเป็นและข้อตกลงตามฟ้อง เพราะโจทก์ทั้งสี่ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินในขณะที่มีการแบ่งแยกมาจากโฉนดที่ดินเดิม และไม่มีการตกลงเรื่องการเปิดทางออกตามที่โจทก์ทั้งสี่อ้าง โจทก์ทั้งสี่และจำเลยไม่ใช่คู่สัญญาในข้อตกลงดังกล่าว โจทก์ทั้งสี่จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ข้อตกลงที่อ้างใช้บังคับไม่ได้ตามกฎหมายเพราะไม่ได้ทำเป็นหนังสือ หรือจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณานายวิวัฒน์ ผสมทรัพย์ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้จำเลยเปิดทางจำเป็นแก่โจทก์ทั้งสี่กว้าง 3 เมตร ตลอดทางจนออกสู่ทางสาธารณประโยชน์ตามรอยขีดสีแดงภายในเส้นสีแดงในแผนที่ด้านหลังโฉนดเอกสารหมาย จ.1 บนที่ดินของจำเลยโฉนดเลขที่ 23803 ตำบลตลาดบางเขน (กูบแดง) อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร ส่วนคำขอให้จำเลยไปจดทะเบียนเป็นทางจำเป็นหากไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น เมื่อทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแล้วโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมมีสิทธิใช้ทางดังกล่าวได้โดยอำนาจแห่งกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1349 จึงไม่จำต้องจดทะเบียนสิทธิอีก ให้ยกคำขอส่วนนี้
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า เดิมที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมกับของจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยโดยจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินสองแปลง ที่ดินของจำเลยติดถนนสาธารณะ ส่วนที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมไม่ติดถนนสาธารณะ มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าทางพิพาทตามฟ้องเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมหรือไม่ โจทก์ที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ซักถามว่า ในการซื้อที่ดินนั้น ผู้ซื้อต้องการถนนกว้าง 3 เมตร ทางด้านทิศใต้ซึ่งผ่านที่ดินทุกแปลงในภายหลังได้มีการระวังแนวเขตซึ่งได้มีการมาพบเจ้าของที่ดินแต่ละแปลงก็ได้มีการพูดคุยกันถึงถนนดังกล่าวเจ้าของที่ดินทุกแปลงได้คุยกับนางมาลัยและนางมาลัยตกลงว่าจะทำถนน แต่ต่อมานางมาลัยยกที่ดินให้บุตรสาวและนางมาลัยก็ถึงแก่ความตาย ได้มีการติดต่อกับจำเลยซึ่งเป็นบุตรสาว จำเลยแจ้งว่าจะต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ละแปลงเป็นเงิน 200,000 บาท และโจทก์ที่ 1 ตอบทนายจำเลยถามค้านว่าจากที่ดินของโจทก์ที่ 1 จะมาใช้ถนนตามหมายเลข 7 ในแผนที่เอกสารหมาย ล.1 ได้หรือไม่โจทก์ที่ 1 ไม่ทราบ แต่โจทก์ที่ 1 ทราบมาว่าเจ้าของที่ดินดังกล่าวไม่ให้ใช้ที่ดินเพราะจะมีการกั้นรั้วและสร้างอพาร์ตเมนต์ โจทก์ที่ 4 เบิกความตอบทนายโจทก์ซักถามว่า ที่ดินที่ซื้อนั้นมีทางเข้าออกด้านหน้าซึ่งต้องผ่านที่ของนางมาลัย ด้านข้างต้องผ่านที่ของหมอร่มไทรและด้านหลังซึ่งติดกับริมคลองเป็นทางเดินแคบ ๆ หากจะเดินไปทางริมคลองต้องเดินผ่านบ้านซึ่งปลูกขวางอยู่โดยเดินผ่านใต้ถุนบ้านไป ตอนที่ซื้อที่ดินเจ้าของที่ดินทุกแปลงก็ตกลงกันว่าจะแบ่งทางไว้กว้าง 3 เมตร เป็นถนนออกสู่ทางสาธารณะเพื่อให้เจ้าของที่ดินซึ่งอยู่ภายในออกสู่ทางสาธารณะได้ และโจทก์ที่ 4 เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า การเดินทางไปยังที่ดินนั้น สามารถเดินไปได้โดยเดินจากถนนแจ้งวัฒนะไปตามถนนหมายเลข 8 แต่ต้องมุดใต้ถุนบ้านของคนอื่นที่ปลูกขวางทางอยู่ซึ่งสูงจากพื้นดินแค่คอ เวลาเดินต้องก้ม นายประกิจ เกษรา เบิกความตอบทนายโจทก์ซักถามว่า ตอนซื้อที่ดินจากพลตรีชาญในครั้งแรก ผู้ซื้อทุกคนตกลงกันว่าจะแบ่งที่ดินส่วนหนึ่งกว้าง 3 เมตร เป็นทางเดินเข้าออกทุกแปลง นางมาลัยผู้ซื้อที่ดินซึ่งเป็นมารดาของจำเลยก็ตกลงด้วยและนายประกิจเบิกความตอบแทนจำเลยถามค้านว่า ปัจจุบันนี้โจทก์ทั้งสี่ก็ไม่สามารถเดินจากที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ไปยังสุดถนนหมายเลข 7 ได้ เพราะมีรั้วลวดหนามกั้นไว้ นางจำเนียร เอมนุช เบิกความเป็นพยานตอบทนายโจทก์ถามติงว่า ที่ดินของนายเทพพนม เมืองแมน ซึ่งพยานเบิกความไปนั้น มีท่อปูนซีเมนต์วางขวางสองท่อและมีรั้วลวดหนามกั้นขวางไว้ ที่ดินของโจทก์แปลงในที่เบิกความว่า ติดคลองนั้น ก่อนจะถึงคลองได้มีที่ดินของกรมชลประทานขวางอยู่ จึงจะถึงคลองสอง ที่ดินกว้าง 8 เมตร และบนที่ดินปลูกบ้านไว้เต็มหมดจึงไม่สามารถเดินผ่านทะลุบ้านดังกล่าวไปออกสู่คลองสองได้ จำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์และโจทก์ร่วมถามค้านว่า ก่อนที่จะเข้าไปใช้ทางหมายเลข 7 ตามแผนที่เอกสารหมาย ล.1 นั้น จะต้องผ่านทางลูกรังหมายเลข 6 ก่อน และจำเลยเบิกความตอบทนายจำเลยถามติงว่าทางหมายเลข 7 ในแผนที่เอกสารหมาย ล.1 เป็นทางแคบ แต่หากใช้รถจักรยานยนต์ก็สามารถขับสวนกันได้ เห็นว่า เดิมที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมกับของจำเลยเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน ต่อมามีการแบ่งแยกที่ดินออกเป็นแปลงย่อยโดยที่ดินของจำเลยติดถนนสาธารณประโยชน์ ส่วนที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมอยู่ ด้านหลังที่ดินของจำเลย จึงไม่ติดถนนสาธารณประโยชน์ปรากฏตามแผนที่สำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ส่วนด้านทิศตะวันออกซึ่งตามแผนที่ติดกับคลองสองนั้นก็ปรากฏตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมสอดคล้องต้องกันว่าหากจะเดินไปยังคลองดังกล่าวจะต้องเดินผ่านใต้ถุนบ้านของบุคคลอื่นซึ่งปลูกขวางอยู่ ส่วนทางด้านทิศใต้ที่จำเลยอ้างว่าอยู่ติดกับถนนคอนกรีตกว้าง 8 เมตรนั้น จากทางนำสืบของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมปรากฏว่าเป็นถนนของนายเทพพนมมิใช่ทางสาธารณะแต่อย่างใด และนายเทพพนมก็หวงกันมิให้บุคคลทั่วไปได้ใช้ถนนดังกล่าวโดยการกั้นรั้วลวดหนามและใช้ท่อปูนซีเมนต์มาวางขวางไว้ เมื่อพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมที่เบิกความว่าขณะซื้อที่ดินผู้ซื้อทุกคนรวมทั้งมารดาของจำเลยต่างตกลงกันว่าจะเปิดทางกว้าง 3 เมตร ทางด้านทิศใต้ของที่ดินทุกแปลงเพื่อใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะแล้ว ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่า ที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมมีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ จึงทำให้ผู้ที่ซื้อที่ดินรายอื่นและมารดาของจำเลยตกลงจะเปิดทางเพื่อให้ที่ดินแปลงในมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมจึงมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1350 โจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องบังคับจำเลยให้เปิดทางจำเป็นได้ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า ข้อตกลงที่ผู้ซื้อที่ดินทุกคนตกลงเปิดทางกว้าง 3 เมตร เพื่อใช้เป็นทางออกสู่ทางสาธารณะมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ให้ถูกต้องจึงใช้บังคับไม่ได้นั้น เห็นว่า เมื่อที่ดินของโจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมมีที่ดินแปลงอื่นรวมทั้งที่ดินของจำเลยล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ โจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมย่อมมีสิทธิผ่านที่ดินของจำเลยซึ่งล้อมอยู่ไปสู่ทางสาธารณะได้ โดยไม่ต้องคำนึงว่า ข้อตกลงต่าง ๆ ที่ได้ตกลงกันไว้ด้วยวาจาจะใช้บังคับได้หรือไม่ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยฎีกา อีกข้อหนึ่งว่า โจทก์ทั้งสี่และโจทก์ร่วมไม่ได้นำสืบพิสูจน์ให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องใช้ทางขนาดเท่าใด แต่ศาลอุทธรณ์กำหนดทางจำเป็นกว้าง 3 เมตรตามที่โจทก์ทั้งสี่ขอผ่านโดยมิได้มีข้อตกลงกันตามประเด็นข้อพิพาทจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องและคำขอท้ายคำฟ้องของโจทก์ทั้งสี่ได้ขอเปิดทางจำเป็นทางด้านทิศใต้กว้างประมาณ3 เมตรแล้ว ดังนั้นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เปิดทางจำเป็นกว้าง 3 เมตร จึงเป็นการตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 ประกอบมาตรา 246 แล้ว มิได้วินิจฉัยนอกประเด็น ศาลอุทธรณ์พิพากษามาชอบแล้ว ฎีกาทุกข้อของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง คดีนี้เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ ที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รวม 10,000 บาทแทนโจทก์ทั้งสี่นั้นไม่ชอบ เพราะตามตาราง 6 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งได้กำหนดอัตราค่าทนายความชั้นสูงสำหรับคดีไม่มีทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้นไว้จำนวน 3,000 บาท ในศาลอุทธรณ์จำนวน1,500 บาท จึงเกินกว่าอัตราขั้นสูงที่กฎหมายกำหนด ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขเสียให้ถูกต้อง”
พิพากษายืน แต่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รวม 4,500 บาท แทนโจทก์ทั้งสี่