แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์  จำเลยบุกรุก  ขอให้ขับไล่และเรียกค่าเสียหาย  จำเลยให้การว่าที่พิพาทเป็นที่ดินโฉนดที่ 1174  ของบุตรจำเลย  จำเลยมิได้ทำละเมิด  และค่าเสียหายไม่ถึงจำนวนที่ฟ้อง  ศาลอุทธรณ์ฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดินนอกโฉนดที่1174  และเป็นที่ดินของ ก.  เมื่อ ก. ตายแล้วฝ่ายโจทก์ครอบครองตลอดมา  จำเลยเพิ่งโต้แย้งการครอบครองไม่ถีง 1 ปี  คดีโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครอง  โจทก์เป็นทายาทคนหนึ่งของ ก.  จึงมีอำนาจฟ้อง  พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นที่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  และโจทก์เสียหายเพียงใด  แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี  ดังนี้  เมื่อจำเลยมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภายในกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ฎีกา  ประเด็นที่ว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ 1174 ของจำเลยหรือไม่  โจทก์ขาดสิทธิครอบครองและมีอำนาจฟ้องหรือไม่จึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์  เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาใหม่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์  และโจทก์เสียหายจริงแล้ว  จำเลยคงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านในประเด็นเรื่องละเมิดและค่าเสียหายเท่านั้นจะรื้อฟื้นประเด็นที่ยุติไปแล้วเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีกหาได้ไม่  ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแต่ผู้เดียว  มิได้ให้จำเลยร่วมต้องรับผิดด้วย  จำเลยร่วมจะฎีกาในประเด็นเรื่องค่าเสียหายด้วยหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า  จำเลยบุกรุกเข้าแย่งการครอบครองที่ดินมือเปล่าของโจทก์ขอให้พิพากษาว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาทและขับไล่จำเลย  ทั้งให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน ๒,๓๐๐ บาท  กับอีกปีละ ๘๐๐ บาท  จนกว่าจำเลยจะออกจากที่พิพาท
จำเลยให้การว่า  ที่พิพาทตามฟ้องเป็นที่ดินอยู่ในเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๗๔  ซึ่งเป็นของนายเทือง  มีทรัพย์  บุตรจำเลย  โจทก์ไม่เคยเข้ามาครอบครองอย่างเป็นเจ้าของและที่พิพาทได้ผลจากการทำนาไม่เกินปีละ ๑๐๐ บาท
โจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นเรียกนายประเทือง  มีทรัพย์  เข้าเป็นจำเลยร่วม  ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต
จำเลยร่วมให้การทำนองเดียวกับจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า  ที่พิพาทเป็นที่นอกโฉนดเลขที่ ๑๑๗๔  นางกิมลี้  ได้แจ้ง ส.ค.๑ ไว้  เมื่อนางกิมลี้ตายแล้ว  ฝ่ายโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทตลอดปี  จำเลยเพิ่งโต้แย้งการครอบครอง  คดีโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้องเรียกคืนการครอบครอง  และเมื่อนางกิมลี้ตายที่พิพาทก็ตกเป็นของทายาท  โจทก์เป็นบิดาและเป็นทายาทจึงมีอำนาจฟ้อง  พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นที่ว่า  จำเลยละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  และโจทก์เสียหายเพียงใด  แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
ศาลชั้นต้นฟังว่า  จำเลยบุกรุกเข้าไปตัดต้นไม้และทำนาในที่พิพาทจริง  ส่วนจำเลยร่วมฟังไม่ได้ว่าร่วมบุกรุกด้วย  พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายกับค่าขาดประโยชน์ให้โจทก์เป็นเงิน ๒,๓๐๐ บาท  และต่อ ๆ ไปปีละ ๘๐๐ บาท  จนกว่าจำเลยจะออกจากที่พิพาท
จำเลยและจำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยและจำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า  ที่จำเลยและจำเลยร่วมฎีกาว่า  ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในเขตโฉนดเลขที่ ๑๑๗๔  ของจำเลยร่วม  และแม้จะฟังว่าที่พิพาทเป็นที่ดิน  ซึ่งนางกิมลี้แจ้ง ส.ค.๑ ไว้  แต่ผู้มีสิทธิครอบครองก็ได้สละละทิ้งการครอบครองไปเกินกว่า ๑ ปี  จึงขาดสิทธิการครอบครอง  โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องและคดีโจทก์ขาดอายุความนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่า  ประเด็นดังกล่าวศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้แล้วโดยคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ลงวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๕  โดยฟังว่าที่พิพาทเป็นที่นอกโฉนดเลขที่ ๑๑๗๔  จำเลยแย่งการครอบครองยังไม่ครบ ๑ ปี  คดีโจทก์ไม่ขาดสิทธิฟ้องร้อง  และพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาประเด็นที่ว่าจำเลยละเมิดต่อโจทก์ตามฟ้องหรือไม่  และโจทก์เสียหายเพียงใด  จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าวภายในกำหนดระยะเวลาที่อนุญาตให้ฎีกา  ประเด็นที่ว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนด ๑๑๗๔ หรือไม่  โจทก์ขาดสิทธิครอบครองและมีอำนาจฟ้องหรือไม่  จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ฉบับนั้น  ดังนั้น  เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาในประเด็นที่ว่า  จำเลยละเมิดต่อโจทก์  และโจทก์เสียหายจริงแล้ว จำเลยก็คงมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคัดค้านในประเด็นเรื่องละเมิดและค่าเสียหายได้ต่อไปเท่านั้น  ส่วนประเด็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว  จำเลยจะรื้อฟื้นเป็นข้ออุทธรณ์ฎีกาต่อไปอีกหาได้ไม่  ฎีกาข้อนี้ของจำเลยและจำเลยร่วมจึงเป็นอันตกไป  ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ไม่ได้
สำหรับในประเด็นเรื่องละเมิดและค่าเสียหายซึ่งจำเลยยังมีสิทธิฎีกาได้ต่อไปนั้น  ปรากฏว่าจำเลยฎีกาขึ้นมาเฉพาะในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย  มิได้ฎีกาในประเด็นเรื่องละเมิดด้วย  คดีจึงมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยว่า  ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นการเกินสมควรไปหรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงในปัญหาดังกล่าวแล้ว  ฟังว่าโจทก์เสียหายจริงตามฟ้อง  ส่วนที่จำเลยร่วมฎีกาในข้อนี้ขึ้นมาด้วยนั้น  ศาลฎีกาเห็นว่าศาลล่างทังสองพิพากษาให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแต่ผุ้เดียว  มิได้ให้จำเลยร่วมร่วมรับผิดด้วย  จำเลยร่วมจึงฎีกาในข้อนี้ไม่ได้  ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
พิพากษายืน
