แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ข้อบังคับของจำเลยกำหนดว่า ในกรณีที่จำเลยจะต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ผู้ปฏิบัติงานผู้ใดตามกฎหมายแรงงานก็ให้จ่ายเงินค่าชดเชยจากกองทุนบำเหน็จ และผู้ปฏิบัติงานไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้อีก เว้นแต่เงินบำเหน็จที่คำนวณตามข้อบังคับนี้มากกว่าเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ก็ให้จ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่มากกว่านั้นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานผู้นั้น ข้อบังคับดังกล่าวไม่ขัดต่อกฎหมายและใช้บังคับได้แม้จะเป็นการจำกัดสิทธิของผู้ปฏิบัติงานอยู่บ้าง แต่ความในมาตรา 28 แห่ง พ.ร.ฎ.จัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2520 ก็หาได้บัญญัติห้ามจำเลยที่จะกำหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่ แม้โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยมาก่อนวันที่ประกาศใช้ข้อบังคับดังกล่าว แต่เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่า ก่อนวันใช้ข้อบังคับดังกล่าวจำเลยได้เคยมีข้อบังคับว่าด้วยกองทุนบำเหน็จไว้อันพึงนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์เคยมีสิทธิอย่างไร และข้อบังคับของจำเลยฉบับนี้ตัดสิทธิของโจทก์ประการใด ดังนั้นเมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างหลังจากวันประกาศใช้ข้อบังคับสิทธิของโจทก์จะได้รับเงินบำเหน็จหรือไม่เพียงใด ก็ย่อมเป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเลิกจ้าง.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุเกษียณอายุโดยโจทก์ไม่มีความผิด โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยจำนวน 67,980 บาทท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย นับตั้งแต่วันเลิกจ้างจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่าโจทก์ออกจากงานเนื่องจากการเกษียณอายุ มิใช่การเลิกจ้างและการจ้างโจทก์เป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาแน่นอนโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าชดเชย ตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ 32ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จข้อ 21 ต้องถือว่าจำเลยจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานให้แก่โจทก์แล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยจากจำเลยซ้ำอีก ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุเป็นการเลิกจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานและมิใช่เป็นการจ้างที่มีกำหนดระยะเวลาการจ้างไว้แน่นอน แต่ตามข้อ 21 แห่งข้อบังคับองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 32ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ ถือว่าเป็นการจ่ายค่าชดเชยด้วย โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยจากจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ตามข้อ 21 ของข้อบังคับของจำเลยว่าด้วยกองทุนบำเหน็จดังกล่าวได้กำหนดไว้ว่า ในกรณีที่องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อ.ส.ม.ท.) จะต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ผู้ปฏิบัติงานผู้ใดตามกฎหมายแรงงานก็ให้จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ผู้ปฏิบัติงานจากกองทุนบำเหน็จ และผู้ปฏิบัติงานผู้นั้นไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้อีก เว้นแต่เงินบำเหน็จที่คำนวณตามข้อบังคับนี้มากกว่าเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานก็ให้จ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่มากกว่านั้นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานผู้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าความในข้อ 21 ดังกล่าวนั้น มุ่งประสงค์ที่จะให้จ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างของจำเลยโดยมีเจตนาไม่ให้ลูกจ้างของจำเลยได้รับเงินเต็มจำนวนทั้งสองประเภทเท่านั้นโดยกำหนดหลักเกณฑ์ว่า การจ่าจค่าชดเชยในกรณีที่ลูกจ้างของจำเลยมีสิทธิได้รับค่าชดเชยก็ให้จ่ายจากกองทุนบำเหน็จ โดยไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จอีก แต่ถ้าเงินบำเหน็จมีจำนวนมากกว่าค่าชดเชยแล้วก็ให้จำเลยจ่ายเงินบำเหน็จในส่วนที่มีจำนวนสูงกว่าค่าชดเชยนั้นให้ด้วย ข้อบังคับของจำเลยฉบับนี้จึงไม่ขัดต่อกฎหมายและใช้บังคับได้ กรณีเช่นนี้ต้องถือว่าจำเลยได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว คำพิพากษาฎีกาที่โจทก์อ้างอิงมาในฎีกานั้นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับข้อบังคับของนายจ้างไม่ตรงกับคดีนี้ จะนำมาเทียบเคียงเพื่อวินิจฉัยคดีนี้มิได้
โจทก์อุทธรณ์ข้อต่อไปว่า ข้อบังคับองค์การสื่อสารมวลชลแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 32 ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จนี้ จำเลยได้ออกโดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 19(11) และมาตรา 28 แห่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2520 ซึ่งบทมาตราดังกล่าวหาได้ให้อำนาจกำหนดให้เงินตามข้อบังคับนี้เป็นค่าชดเชยจึงไม่มีผลให้เงินบำเหน็จเป็นค่าชดเชยได้ ศาลฎีกาเห็นว่าพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ.2520มาตรา 19(11) ได้บัญญัติให้อำนาจคณะกรรมการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยวางข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานในองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยและครอบครัว ด้วยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีและมาตรา 28 บัญญัติว่า ให้องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยจัดให้มีกองทุนสงเคราะห์ หรือการสงเคราะห์อื่นเพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานในองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยและครอบครัวในกรณีพ้นจากตำแหน่ง เจ็บป่วย ตาย ประสบอุบัติเหตุ หรือกรณีอื่นอันควรแก่การสงเคราะห์ เมื่อพิจารณาข้อบังคับองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 32 ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จแล้ว เห็นได้ว่าจำเลยได้ออกข้อบังฉบับนี้โดยอาศัยอำนาจที่คณะกรรมการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยมีอยู่และตามหลักการของบทกฎหมายดังกล่าวโดยได้กำหนดให้มีกางทุนบำเหน็จและให้ผู้ปฏิบัติงานซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จในกรณีตาย ลาออก ครบเกษียณอายุหรือได้รับคำสั่งให้ออกจากงานโดยไม่มีความผิดและได้กำหนดให้ผู้ปฏิบัติงานหรือลูกจ้างของจำเลยในกรณีที่ไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จไว้ด้วยจึงเป็นข้อบังคับเกี่ยวกับกองทุนสงเคราะห์หรือการสงเคราะห์เพื่อสวัสดิการของผู้ปฏิบัติงานของจำเลยและครอบครัวแล้ว การที่ข้อ 21 แห่งข้อบังคับดังกล่าวได้กำหนดว่าในกรณีที่องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทยจะต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ผู้ปฏิบัติงานผู้ใดตามกฎหมายแรงงาน ก็ให้จ่ายเงินค่าชดเชยให้แก่ผู้ปฏิบัติงานจากกองทุนบำเหน็จและผู้ปฏิบัติงานผู้นั้นไม่มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จตามข้อบังคับนี้อีก เว้นแต่เงินบำเหน็จที่คำนวณตามข้อบังคับนี้มากกว่าเงินค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน ก็ให้จ่ายเงินบำเหน็จส่วนที่มากกว่านั้นให้แก่ผู้ปฏิบัติงานผู้นั้น อันเป็นการจำกัดสิทธิของโจทก์อยู่บ้างก็ตามความในมาตรา 28 ก็หาได้บัญญัติห้ามจำเลยที่จะกำหนดหลักเกณฑ์ไว้ดังข้ออุทธรณ์ของโจทก์ไม่ จำเลยจึงมีอำนาจออกข้อบังคับนี้ และมีผลใช้บังคับได้
โจทก์อุทธรณ์ข้อสุดท้ายว่า โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยมาก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2525 ซึ่งเป็นวันประกาศใช้ข้อบังคับขององค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 32 ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จข้อบังคับฉบับนี้จึงไม่มีผลย้อนหลังเป็นการตัดสินธิของโจทก์ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่ปรากฎว่า ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม 2525จำเลยได้เคยมีข้อบังคับว่าด้วยกองทุนบำเหน็จไว้อันพึงนำมาวินิจฉัยว่าโจทก์เคยมีสิทธิอย่างไร และข้อบังคับของจำเลยฉบับนี้ได้ตัดสิทธิของโจทก์ประการใดดังนั้น เมื่อโจทก์ถูกเลิกจ้างหลังจากวันที่ 1 ตุลาคม 2525 สิทธิของโจทก์ที่จะได้รับเงินบำเหน็จหรือไม่เพียงใด ก็ย่อมเป็นไปตามข้อบังคับของจำเลยฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในขณะเลิกจ้าง ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของโจทก์ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.