แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หนังสือสัญญามีข้อความกล่าวเท้าถึงการจำนองที่โจทก์จำเลยทำกันไว้แต่เดิมจึงเห็นได้ว่า คู่กรณียังรับรองสัญญาจำนองที่ทำไว้เดิม แม้สัญญาจำนองจะมีกำหนดไถ่ถอนคืนกันภายใน 3 ปี เมื่อครบกำหนดโจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิบังคับจำนอง ข้อความตา สัญญาฉบับหลังมีความว่า ข้าพเจ้านายเวส ขอทำสัญญารับเงินเพิ่มให้นายชาวซึ่งเป็นผู้รับจำนองที่ดินนาและสวนไว้ และมีข้อความยืนยันเพิ่มต่อไปในข้อ 1 แห่งสัญญาว่า “ขอรับเงินเพิ่มอีก 3,768 บาท” และยังมีข้อสัญญาต่อไปอีกว่า ยอมให้จำเลยนำเงินที่จำนองเดิมกับเงินที่รับเพิ่มไปใหม่อีก 3,768 บาท มาใช้คืนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้ต่อไปอีกภายใน 2 ปี แสดงว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จำนองเอาเงินมาไถ่คืนไปได้ หาใช่ว่าจำเลยยอมตกลงจะขายที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์แต่อย่างเดียวไม่ และข้อ 2 แห่งสัญญายังมีข้อความอีกว่า ให้ท่าน (โจทก์) เข้าครอบครองเก็บผลไม้ในสวนและทำนาแทนดอกเบี้ย และเงินเพิ่มต่อไป อันเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยมอบที่ดินให้ไว้เพื่อเป็นประกันเงินที่รับไปโดยการจำนอง
การเอาที่ดินใช้หนี้เป็นเงินกู้ที่จำนองเป็นประกัน ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรค 2 ผู้รับจำนองจึงไม่อาจขอให้บังคับผู้จำนองให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่จำนองไว้นั้นได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ สามีจำเลยที่ ๒ มอบอำนาจให้จำเลยที่ ๒ ทำสัญญาจำนองที่นาที่สวน ๒ แปลงไว้กับโจทก์เป็นเงิน ๒๐๐ บาท กำหนดไถ่ถอนภายใน ๒ ปี จำเลยไม่ไถ่ถอน ต่อมาจำเลยทั้งสองตกลงจะขายที่นาที่สวนให้โจทก์โดยคิดราคาเพิ่มอีก ๓,๗๖๘ บาท จำเลยรับเงินไปแล้วโดยสัญญว่า ถ้าจำเลยทั้งสองไม่นำเงิน ๒๐๐ บาทตามสัญญาจำนองไปไถ่ถอนการจำนองและที่รับไปใหม่ตามราคาที่จำเลยคิดเพิ่มรวมเป็นเงิน ๓,๙๖๘ บาท ไปชำระแก่โจทก์ภายใน ๒ ปี นับแต่วันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๔๙๔ จำเลยยอมโอนที่นาและสวนให้โจทก์ จำเลยทั้งสองผิดสัญญาไม่ไถ่ถอนจำนองและชำระหนี้ ขอให้ศาลบังคับจำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่นาและสวนให้โจทก์ ฯลฯ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยตกลงจะขายหรือโอนที่ดินให้โจทก์ไม่เคยรับเงิน ๓,๗๖๘ บาท สัญญาท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมและไม่ใช่สัญญาจะซื้อขาย
วันนัดพิจารณา โจทก์ว่าเอกสารหมาย จ.๓ เป็นสัญญาจะซื้อขาย ส่วนจำเลยเถียงว่าเป็นสัญญาขึ้นเงินจำนอง ทั้งสองฝ่ายขอให้ศาลตีความในสัญญา
ศาลชั้นต้นฟังว่าไม่จำต้องสืบพยาน วินิจฉัยว่า เอกสารหมาย จ.๓ มิใช่สัญญาจะซื้อขาย พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เอกสารหมาย จ.๓ เป็นสัญญาจะซื้อขายพิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองโอนที่นาและที่สวนตามหนังสือสัญญาให้แก่โจทก์ ฯลฯ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เอกสารหมาย จ.๓ มีความว่า “ข้าพเจ้า นายเวส นาคสังข์ นางรวบ นาคสังข์ ….. ขอทำหนังสือสัญญารับเงินเพิ่มให้นายขาว มูลลักษณ์ ยึดถือไว้ฉบับหนึ่ง มีข้อความต่อไปนี้
ข้อ ๑ ข้าพเจ้ามีนา ๑ แปลง สวน ๑ แปลง …… ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะขายขาดกรรมสิทธิ์ให้แก่ท่านโดยที่ ๒ แปลงนี้ ข้าพเจ้าได้ขายจำนองตามหนังสือสัญญาจำนองลงวันที่ ๑๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๓ เป็นเงิน ๒๐๐ บาท แต่บัดนี้ข้าพเจ้าขอรับเงินเพิ่มอีก ๓,๗๖๘ บาท ข้าพเจ้าขอให้สัญญว่า ภายในสองปีนับแต่วันทำสัญญานี้ ข้าพเจ้าไม่นำเงินที่ขายจำนองและเงินเพิ่มซึ่งรับไปในวันที่ ๓,๗๖๘ บาทมาชำระให้แก่ท่านภายในกำหนด ๒ ปี ตามกล่าวมาแล้ว ข้าพเจ้าจะไปทำสัญญาโอนสิทธิที่นาและที่สวนให้ท่านเป็นกรรมสิทธิ์ตามกฎหมายต่อคณะกรมการอำเภอเมืองชุมพรต่อไป
ข้อ ๒ นับแต่วันทำหนังสือสัญญานี้ ให้ท่านเข้าทำครอบครองเก็บผลไม้ในสวนและทำนาแทนดอกเบี้ยและเงินเพิ่มต่อไป ข้าพเจ้าได้รับเงินเพิ่ม ๓,๗๖๘ บาท (สามพันเจ็ดร้อยหกสิบแปดบาทถ้วน) ไปจากท่านแต่วันทำหนังสือสัญญานี้แล้ว ฯลฯ”ท้ายหนังสือสัญญานี้ได้ลงลายมือชื่อจำเลยทั้งสองโดยระบุว่า ในฐานะเป็นผู้รับเงินเพิ่มและโจทก์เป็นผู้เขียนสัญญานี้
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามหนังสือสัญญา ข้อความกล่าวเท้าถึงการจำนองที่โจทก์จำเลยทำกันไว้เดิม จึงเห็นว่า คู่กรณียังรับรองสัญญาจำนองที่ทำไว้เดิม แม้สัญญาจำนองจะมีกำหนดไถ่ถอนคืนกันภายใน ๓ ปี ครบกำหนดโจทก์ยังมิได้ใช้สิทธิบังคับจำนองข้อความตามสัญญาฉบับหลังขึ้นต้นมีความว่า ข้าพเจ้านายเวส นาคสังข์ ขอทำสัญญารับเงินเพิ่มให้นายขาวซึ่งเป็นผู้รับจำนอง และมีข้อความยืนยันเพิ่มเติมต่อไปในข้อ ๑ แห่งสัญญว่า “ขอรับเงินเพิ่มอีก ๓,๗๖๘ บาท” และยังมีข้อสัญญาตกลงกันต่อไปอีกว่ายอมให้จำเลยนำเงินที่จำนองเดิม (คือเงิน ๒๐๐ บาท) กับเงินที่รับเพิ่มไปใหม่อีก ๓,๗๖๘ บาท มาใช้คืนแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจำนองได้ต่อไปภายใน ๒ ปี อันแสดงว่าโจทก์ยังยอมให้จำเลยซึ่งเป็นผู้จำนองเอาเงินมาไถ่เอานาและสวนกลับคืนไปได้ หาใช่ว่าจำเลยได้ยอมตกลงจะขายที่ดินที่จำนองให้แก่โจทก์อย่างเดียวไม่ เพราะยังมีข้อตกลงที่ยอมให้จำเลยนำเงินมาไถ่ถอนที่ดินจากโจทก์ได้อยู่ และในข้อ ๒ ก็ยังมีข้อความอีกว่า ให้ท่าน (โจทก์) เข้าครอบครองเก็บผลไม้ในสวนและทำนาแทนดอกเบี้ย และเงินเพิ่มต่อไป อันเห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเลยมอบที่ดินให้ไว้เพื่อเป็นประกันเงินที่รับไปโดยจำนอง แม้จะฟังดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยมีความประสงค์จะขายที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ภายหลังที่กำหนดเวลา ๒ ปีผ่านไปแล้ว กรณีก็เห็นได้ว่าแท้จริงเป็นการเอาที่ดินใช้หนี้เงินกู้ที่จำนองเป็นประกัน ขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๖ วรรค ๒ โจทก์จึงไม่อาจที่จะขอให้บังคับจำเลยให้โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ได้จำนองไว้นั้นได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น.