คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1505/2514

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำเบิกความต่อศาลในการพิจารณาคดีล้มละลายว่า “เห็นคนมาทวงหนี้ที่บ้านโจทก์หลายคน ทรัพย์สินเครื่องใช้ประจำสำนักงานก็ไม่เห็น คือ โต๊ะทำงาน ตู้เย็น โต๊ะเสมียน โทรศัพท์ ไม้และเหล็กเส้น เคยสืบทรัพย์อื่นของจำเลยไม่มี เห็นข้าวของในสำนักงานหายไปเรื่อง คือ พัดลม โต๊ะ ของก่อสร้าง เช่น ปูน ไม้ ดังนี้หาใช่เป็นข้อสำคัญในคดีล้มละลายที่จะฟังว่าผู้ถูกฟ้องล้มละลายไม่มีทรัพย์พอชำระหนี้ถึงขนาดเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวไม่
เมื่อคำเบิกความของจำเลยต่อศาลไม่เป็นข้อสำคัญในคดี ฟ้องของโจทก์จึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานเบิกความเท็จ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๑๐ เวลากลางวันจำเลยทั้งสองเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลแพ่งในการพิจารณาคดีล้มละลายของศาลแพ่งหมายเลขคดีแดงที่ ล.๘๐/๒๕๑๐ ความว่าจำเลยที่ ๑ ได้มาทวงหนี้โจทก์ที่บ้านโจทก์ เห็นคนมาทวงหนี้หลายคน ทรัพย์ เครื่องใช้ในสำนักงานก็ไม่มีที่ว่าไม่เห็นทรัพย์นั้นไปเมื่อปีกลายคือ โต๊ะทำงาน ตู้เย็น โต๊ะเสมียน โทรศัพท์ ฯลฯ จำเลยที่ ๑ เคยสืบทรัพย์อื่นของจำเลยไม่มี ส่วนจำเลยที่ ๒ เบิกความว่าได้ไปทวงหนี้จากโจทก์ ๔-๕ ครั้ง ต่อมาเห็นข้าวของในสำนักงานหายไปเรื่อย คือ พัดลม โต๊ะ ฯลฯ บางทีก็ปิดร้านหมดบางทีไม่ปิดเหลือแต่คนใช้ นอกจากนั้นจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ยังเบิกความเท็จอีกว่า จำเลยได้ขายที่ดินของจำเลยที่ตำบลศีรษะจรเข้น้อย อำเภอบางพลี เนื้อที่ ๔๒ ไร่ให้แก่โจทก์ในราคา ๑๒๖,๐๐๐ บาท จำเลยชำระเงินให้เพียง ๖๐,๐๐๐ บาท ข้อความที่จำเลยเบิกความดังกล่าวเป็นเท็จความจริงจำเลยมิได้ขายที่ดินของจำเลยให้โจทก์ทั้งโจทก์มิได้เคยติดต่อขอซื้อที่ดินของจำเลยจากจำเลย เมื่อ ปี พ.ศ. ๒๕๐๙ ทรัพย์สินต่าง ๆ ดังจำเลยเบิกความมีอยู่ในสำนักงานของโจทก์ตลอดมาไม่เคยโยกย้ายจ่ายโอน ทั้งโจทก์ยังมีทรัพย์สินหลายอย่างมีราคาท่วมจำนวนหนี้ของจำเลยที่ ๑ คำเบิกความของจำเลยทั้งสองล้วนแต่เป็นข้อสำคัญในการพิจารณาวินิจฉัยของศาลในคดีนั้น เป็นเหตุให้โจทก์และสาธารณชนเสียหายเหตุเกิดที่ศาลแพ่ง ตำบลพระบรมมหาราชวัง อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๗๗, ๘๓
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคำเบิกความของจำเลยทั้งสองไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีล้มละลาย และจำเลยไม่มีเจตนาทุจริตในการเบิกความเท็จ พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า คำเบิกความของจำเลยเป็นไปโดยสุจริตพิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองเบิกความในคดีที่นายจำปีจำเลยที่ ๑ ฟ้องโจทก์เรื่องล้มละลายตามสำนวนคดีหมายเลขแดงที่ ล.๘๐/๒๕๑๐ คือ นายจำปีจำเลยเบิกความในเรื่องทรัพย์ของโจทก์ว่า เห็นคนมาทวงหนี้ที่บ้านโจทก์หลายคน ทรัพย์สินเครื่องใช้ประจำสำนักงานก็ไม่เห็น คือ โต๊ะทำงาน ตู้เย็น โต๊ะเสมียน โทรศัพท์ ไม้ และเหล็กเส้น เคยสืบทรัพย์อื่นของจำเลยก็ไม่มี นางสำเนียงจำเลยเบิกความว่าเห็นข้าวของในสำนักงานหายไปเรื่อยคือ พัดลม โต๊ะ ของก่อสร้าง เช่น ปูน ไม้
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว ทรัพย์ต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองเบิกความว่าไม่เห็นมีอยู่ในสำนักงานของโจทก์ดังกล่าวแล้ว เป็นทรัพย์ราคาเล็กน้อยเพียงเท่านี้หาใช่เป็นข้อสำคัญในคดีล้มละลายที่จะฟังว่าโจทก์ไม่มีทรัพย์สินพอชำระหนี้ถึงขนาดเป็นบุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวเสียทีเดียวไม่ ที่จำเลยที่ ๑ เบิกความว่าเคยทราบจากพวกทวงหนี้โจทก์ว่าทรัพย์อื่นของโจทก์ไม่มีนั้น เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ทราบมาจึงเบิกความไปตามนั้น ไม่ใช่ข้อสำคัญในคดีเช่นกัน ส่วนข้อที่จำเลยเบิกความว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ ๑ นั้น ศาลแพ่งชี้ขาดถึงที่สุดแล้วว่าโจทก์เป็นหนี้จำเลยที่ ๑ จริง
ที่โจทก์ฎีกาว่าในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยไม่มีเจตนาเบิกความเท็จนั้น ขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๗ พิเคราะห์แล้วไม่มีความตอนใดห้ามมิให้ศาลวินิจฉัยเช่นที่โจทก์ฎีกาที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน

Share