แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยมีลูกระเบิดมือไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาต และใช้ระเบิดมือนั้นในการต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน ถือว่าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อโจทก์แยกฟ้องกระทงความผิดนั้น ส่วนกระทงความผิดที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานนั้นเป็นอีกกระทงหนึ่งซึ่งยังไม่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(4) สิทธินำคดีอาญามาฟ้องจึงไม่ระงับ
ย่อยาว
ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับปัญหากฎหมายในคดีนี้มีว่า เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๒ เวลากลางคืน จำเลยในคดีนี้ได้พยายามใช้ลูกระเบิดขว้างสังหารปาทำร้ายร้อยตำรวจโทมนัส สังคนนท์ และจ่าสิบตำรวจไชยเวช ไทยจีบ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองนนทบุรี ขณะที่เจ้าพนักงานทั้งสองนั้นจะเข้าจับกุมจำเลย แต่จำเลยถูกจับได้ทันในตอนที่จำเลยกำลังใช้ปากกัดจะถอดสลักนิรภัย เหตุเกิดที่ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นสองสำนวน คือสำนวนคดีแดงที่ ๒๙๖/๒๕๑๒ ฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครอง ฯลฯ กับฟ้องเป็นคดีนี้อีกกระทงหนึ่งฐานต่อสู้ขัดขวางและพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยสำหรับคดีแดงที่ ๒๙๖/๒๕๑๒ มีกำหนด ๖ เดือน จำเลยรับโทษและพ้นโทษในคดีดังกล่าวไปแล้วก่อนศาลชั้นต้นตัดสินคดีนี้ โจทก์จึงขอให้ลงโทษจำเลยสำหรับคดีนี้ตามกระทงความผิด และขอให้นับโทษจำเลยต่อจากคดีก่อน
จำเลยปฏิเสธโดยมิได้ต่อสู้ข้อกฎหมาย เรื่องฟ้องซ้ำไว้ในศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้อง ให้จำคุกจำเลยไว้มีกำหนด ๑๖ ปี แต่เห็นว่าจำเลยพ้นโทษในคดีก่อนไปแล้วจึงไม่นับโทษต่อ และให้เริ่มนับโทษตั้งแต่วันถูกจับเป็นต้นไป
โจทก์อุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น และขอให้ศาลอุทธรณ์นับโทษจำเลยต่อจากคดีก่อนดังกล่าว ส่วนจำเลยอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และต่อสู้ข้อกฎหมายขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์ว่าฟ้งอโจทก์ในคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแดงที่ ๒๙๖/๒๕๑๒ ที่จำเลยรับโทษไปแล้วโดยอ้างว่าเป็นความผิดกรรมเดียวกันโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงดังโจทก์ฟ้อง และความผิดสำนวนนี้กับสำนวนก่อนเป็นสองกรรมต่างกัน โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีแต่เห็นว่า ความผิดของกรรมนี้เกิดในวาระเดียว เพียงแต่โจทก์แยกฟ้อง จึงเห็นด้วยกับศาลชั้นต้นที่ไม่นับโทษต่อ พิพากษายืน
จำเลยฎีกาทั้งปัญหาข้อเท็จจริงว่าไม่ได้กระทำผิดและข้อกฎหมายว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้ เพราะเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแดง ๒๙๖/๒๕๑๒ ดังที่จำเลยโต้เถียงมาในชั้นอุทธรณ์
สำหรับปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ความผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองโดยไม่รับอนุญาตกับความผิดฐานพยายามฆ่าและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เมื่อโจทก์ฟ้องและศาลลงโทษจำเลยฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองแล้ว คดีย่อมเสร็จเด็ดขาดเฉพาะกระทงความผิดนั้น ส่วนกระทงความผิดที่จำเลยกระทำกับผู้เสียหายในคดีนี้ยังหามีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดไปไม่ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมไม่ระงับไป
พิพากษายืน
จำเลยมิได้ยกข้อฟ้องซ้ำขึ้นต่อสู้ อันเป็นประเด็นมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นแต่มายกขึ้นในชั้นอุทธรณ์และฎีกา และโจทก์ก็มิได้โต้แย้ง จึงไม่มีประเด็นเรื่องจะยกขึ้นได้หรือไม่และศาลสูงทั้งสองก็วินิจฉัยให้อันเป็นการแสดงว่าปัญหากฎหมายดังกล่าวเกี่ยว กับความสงบอันคู่ความหรือศาลจะพึงพยิบยกขึ้นมาในชั้นอุทธรณ์หรือฎีกาได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๕-๒๒๕ แม้จะมิได้ว่ากล่าวกันมาตั้งแต่ศาลชั้นต้นก็ตาม