แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 กล่าวถึงบุคคลที่กระทำการรังแก ข่มเหงผู้อื่น หรือประกอบอาชีพในทางผิดกฎหมายบางจำพวกว่าเป็นบุคคลที่ประพฤติตนเป็นอันธพาลโดยมิได้จำแนกไว้โดยชัดเจนว่าบุคคลเหล่านั้นรังแกข่มเหงขู่เข็ญหรือรบกวนผู้อื่นเป็นลักษณะความผิดอะไรบ้าง ส่วนหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ 2498/2502 กล่าวถึงผู้กระทำผิดในคดีฉุดคร่าอนาจาร ล่อลวงข่มขืน และลวงไปฆ่าว่าเป็นภัยแก่สังคม ทั้งนี้ความผิดดังกล่าวก็มีลักษณะเป็นการรังแกข่มเหงผู้อื่นตามประกาศคณะปฏิบัติฉบับที่ 21 นั่นเอง จึงเท่ากับเป็นการชี้ถึงความผิดทั้ง 4 ประเภทโดยเฉพาะว่าเป็นการกระทำของบุคคลที่ประพฤติตนเป็นอันธพาล
ผู้เสียหายถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานพยายามข่มขืน กระทำชำเราและกระทำอนาจาร การกระทำของผู้เสียหายจึงเข้าหลักเกณฑ์ตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 21 และหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ 2498/2502 จำเลยจึงมีอำนาจควบคุมตัวไว้เพื่อสอบสวนได้ไม่เกิน 30 วัน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยแกล้งขังโจทก์เป็นบุคคลอันธพาล โดยไม่ได้สอบสวนเสียก่อนว่าโจทก์เป็นบุคคลอันธพาลหรือไม่ และไม่ได้รายงานขออนุญาตหัวหน้าสถานีตำรวจ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘, ๑๕๐, ๑๖๕, ๒๐๐, ๓๐๙, ๓๑๐, ๑๕๗, ๙๑
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งว่าคดีมีมูลตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘, ๑๕๗, ๓๑๐
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมปี ๒๕๐๒ มาตรา ๑๓ และมาตรา ๓๑๐ ลงโทษตามมาตรา ๑๕๗ ซึ่งเป็นบทหนักให้จำคุก ๑ ปี แต่ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด ๒ ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๕๖
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๔๘ ด้วย และขอไม่ให้รอการลงโทษ
จำเลยอุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางสาวประยูรได้แจ้งความต่อจำเลยซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนว่า นายคำผุยกับพวก ๖ คนได้ฉุดคร่านางสาวประยูรไปเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา จำเลยได้เรียกตัวนายคำผุยไปสอบถามที่สถานีตำรวจ นายคำผุยปฏิเสธ จำเลยได้ให้ประกันตัวไปครบกำหนดนายประกันส่งตัวนายคำผุย แล้วไม่ประกันต่อ จำเลยได้สอบสวนพยานไปบ้างแล้ว จึงขออนุมัตินายอำเภอหันคาขังนายคำผุย ฐานเป็นบุคคลอันธพาล ตามคำสั่งคณะปฏิวัติและหนังสือของกระทรวงมหาดไทย นายคำผุยถูกขังอยู่ ๒๓ วัน และถูกพนักงานอัยการฟ้องศาล ฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรา และกระทำอนาจาร ศาลจังหวัดชัยนาทพิพากษายกฟ้องคดีถึงที่สุด และเห็นว่าประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑ กล่าวถึงบุคคลที่กระทำการรังแก ข่มเหงผู้อื่น หรือประกอบอาชีพในทางผิดกฎหมายบางจำพวกว่าเป็นบุคคลที่ประพฤติตนเป็นอันธพาล โดยมิได้จำแนกไว้โดยชัดเจนว่าบุคคลเหล่านั้นรังแกข่มเหง ขู่เข็ญ หรือรบกวนผู้อื่นเป็นลักษณะความผิดอะไรบ้าง ส่วนหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๔๙๘/๒๕๐๒ กล่าวถึงผู้กระทำผิดในคดีฉุดคร่าอนาจารล่อลวงข่มขืน และลวงไปฆ่า ว่าเป็นภัยแก่สังคม ทั้งนี้ความผิดดังกล่าวก็มีลักษณะเป็นการรังแกข่มเหงผู้อื่นตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑ นั่นเอง จึงเท่ากับเป็นการชี้ถึงความผิดทั้ง ๔ ประเภทโดยเฉพาะว่าเป็นการกระทำของบุคคลที่ประพฤติตนเป็นอันธพาล
ข้อความตอนท้ายหนังสือกระทรวงมหาดไทยที่ว่า สำหรับผู้มีนิสัยชั่วร้ายในทางฉุดคร่าอนาจาร ล่อลวง ข่มขืน และลวงไปฆ่า นอกจากจะดำเนินคดีตามฐานความผิดแล้วควรดำเนินการต่อบุคคลดังกล่าวตามวิธีการในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑ ข้างต้น ที่ให้อำนาจพนักงานสอบสวนควบคุมบุคคลอันธพาลผู้กระทำละเมิดกฎหมายได้มากขึ้น โดยให้อำนาจควบคุมครั้งแรก ๓๐ วัน กล่าวคือเป็นการขยายอำนาจการควบคุมครั้งแรกในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๗ ในการควบคุมบุคคลอันธพาลเพื่อทำการสอบสวนในความผิดที่ถูกกล่าวหา ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๒๑๓/๒๕๐๘
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่านายคำผุยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเราและกระทำอนาจาร จำเลยได้สอบสวนพยานไปบ้างแล้วแต่ยังไม่เสร็จ ชั้นต้นนายคำผุยมีประกันตัวในระหว่างสอบสวน ต่อมาไม่มีประกันตัวจำเลยจึงขังนายคำผุยเป็นบุคคลอันธพาลเพื่อดำเนินการสอบสวนขังอยู่ ๒๓ วันก็ปล่อยโดยไม่ปรากฏว่ามีการกลั่นแกล้งนายคำผุยอย่างใด ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำผิดของนายคำผุยเข้าลักษณะตามประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๑ และหนังสือกฎกระทรวงมหาดไทยที่ ๒๔๙๘/๒๕๐๒ จำเลยจึงมีอำนาจควบคุมตัวไว้เพื่อการสอบสวนได้ไม่เกิน ๓๐ วัน การกระทำของจำเลยไม่เป็นผิดดังฟ้อง
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้อง.