คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 727/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินที่งอกริมตลิ่งในที่ดินของตน เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง จำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย หากนำที่ดินที่จำเลยคัดค้านนั้นไปให้ผู้อื่นเช่า โจทก์จะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000บาท กับมีคำขอบังคับ 2 ประการ คือ ให้ขับไล่จำเลยกับบริวารและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท ตามฟ้องดังกล่าว แสดงว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ในการรังวัดขอออกโฉนดที่ดินแล้วและตามคำคัดค้านกับบันทึกถ้อยคำของจำเลยเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องก็ระบุชัดว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินที่งอกริมตลิ่งมานาน 4 ปี แล้ว ก็เป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินที่งอกริมตลิ่งว่าเป็นของฝ่ายใดเพียงใด ข้อหาตามฟ้องเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ 1674เลขที่ดิน 3 ตำบลเชียงเงิน อำเภอเมืองตาก จังหวัดตาก เนื้อที่90 ตารางวา โดยได้รับมรดกมาจากนางละออง สารวิทย์ มารดาเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2525 ที่ดินแปลงนี้นางละอองได้ครอบครองก่อนออกโฉนดที่ดินประมาณ 30 ปีเศษ กับมีที่งอกริมตลิ่งด้วย ตามสำเนาโฉนดที่ดินเอกสารหมายเลข 1 ต่อมาโจทก์ได้มอบอำนาจให้ร้อยตรีสถิตย์ ชิตต์โสภณ บิดาไปขอออกโฉนดที่ดินที่งอกริมตลิ่งดังกล่าว เจ้าพนักงานที่ดินได้นัดให้ร้อยตรีสถิตย์ไปทำการรังวัดเพื่อออกโฉนดที่ดินในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2537เวลา 9 นาฬิกา ครั้นถึงกำหนดร้อยตรีสถิตย์ได้ไปรับเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อไปทำการรังวัด ปรากฏว่าจำเลยได้คัดค้านการออกโฉนดที่ดินตามคำขอคัดค้านการออกโฉนดที่ดินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และบันทึกถ้อยคำเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 5 เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหาย กล่าวคือ ถ้าโจทก์นำที่ดินที่จำเลยคัดค้านการออกโฉนดที่ดินไปให้ผู้อื่นเช่า จะได้ค่าเช่าเดือนละ3,000 บาท เป็นอย่างต่ำ โจทก์จึงขอเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป โจทก์ไม่มีทางอื่นใดที่จะบังคับจำเลยและบริวารให้ออกไปจากที่ดินของโจทก์ดังกล่าวและไม่อาจบังคับให้จำเลยชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์จึงต้องนำคดีมาฟ้อง ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากที่ดินที่จำเลยคัดค้านดังกล่าวและให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี แก่โจทก์นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายทรัพย์สินออกไป
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยคัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ แต่คำขอบังคับของโจทก์ขอให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินของโจทก์ เป็นคำขอบังคับที่นอกเหนือคำฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในส่วนที่โจทก์ขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท โจทก์ก็มิได้บรรยายให้ชัดแจ้งว่าจำเลยกระทำการใดอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ ซึ่งจะเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยได้ ฟ้องโจทก์บรรยายไม่ชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหานั้น เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์ได้ขอออกโฉนดที่ดินที่งอกริมตลิ่งในที่ดินของตน เจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดที่ดินของโจทก์ตามฟ้อง จำเลยได้คัดค้านการขอออกโฉนดที่ดินของโจทก์ตามคำคัดค้านและบันทึกถ้อยคำของจำเลยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5 ทำให้โจทก์เสียหายหากนำที่ดินที่จำเลยคัดค้านนั้นไปให้ผู้อื่นเช่า โจทก์จะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 3,000 บาท กับมีคำขอบังคับ 2 ประการ คือให้ขับไล่จำเลยกับบริวารและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาทตามฟ้องดังกล่าวแสดงว่า จำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์ในการรังวัดขอออกโฉนดที่ดินแล้ว และตามคำคัดค้านกับบันทึกถ้อยคำของจำเลยเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 4 และ 5 ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องก็ระบุชัดว่า จำเลยได้ครอบครองที่ดินที่งอกริมตลิ่งมานาน 4 ปีแล้ว หากเป็นความจริงเช่นนี้ก็เป็นการโต้แย้งสิทธิในที่ดินที่งอกริมตลิ่งว่า เป็นของฝ่ายใด เพียงใด ข้อหาตามฟ้องเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ดังนั้นฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรคสองแล้ว
พิพากษากลับ ให้รับฟ้องของโจทก์และดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

Share