คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1049/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมเป็นที่ดินแปลงเดียวแต่ต่อมาได้แบ่งแยกออกเป็นหลายแปลงและแบ่งขายไป อายุความได้ภารจำยอมในทางเดินภายในที่ดินแปลงเหล่านี้ ต้องเริ่มนับแต่เมื่อได้มีการแบ่งแยกที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์กันแล้ว
เมื่อที่ดินโฉนดเดียวได้แบ่งแยกออกเป็นหลายแปลง และที่ดินบางแปลงไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ เจ้าของที่ดินแปลงที่ไม่มีทางออกมีสิทธิเรียกร้องเอาทางเดินในที่ดินโฉนดเดิมได้ในฐานะที่เป็นทางจำเป็น
เจ้าของที่ดินที่ทางจำเป็นผ่านอาจเปลี่ยนย้ายทางจำเป็นได้ ถ้าไม่ทำให้ผู้มีสิทธิจะผ่านต้องเสียความสะดวกในการออกสู่ทางสาธารณะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดที่ ๑๙๑๕ เป็นของนางยวด นางยวดได้กันที่ดินเป็นถนนซอยเพื่อออกถนนสาธารณะสู่ถนนสี่พระยาเพื่อเป็นทางเข้าออกสู่ที่ดินแปลงนี้ ต่อมานางยวดได้แบ่งขายที่ดินแปลงนี้บางส่วนให้ผู้มีชื่อโดยให้ถนนซอยติดไปกับที่ดินที่แบ่งแยกไปด้วย แล้วต่อมาพวกโจทก์ได้ซื้อที่ดินแปลงที่นางยวดแบ่งขาย โจทก์ได้ใช้ถนนซอยเป็นทางเข้าออกตลอดมา นอกจากถนนซอยนี้แล้วพวกโจทก์ไม่มีทางอื่นออกสู่ถนนสาธารณะ ต่อมาจำเลยได้รับโอนที่ดินโฉนดที่ ๑๙๑๕ ที่เหลือจากแบ่งขายแล้ว และได้ปิดกั้นถนนซอยส่วนที่อยู่ในที่ดินที่จำเลยได้รับโอนมา โจทก์ทักท้วงจำเลยก็ไม่เชื่อ โจทก์เห็นว่าถนนซอยดังกล่าวเป็นทางจำเป็นและตกเป็นภารจำยอมตามกฎหมายแล้ว จึงขอให้บังคับจำเลยเปิดถนซอยให้
จำเลยให้การว่า ทางพิพาทมิใช่ทางจำเป็นและยังไม่เกิดภารจำยอม ทั้งจำเลยได้ทำทางใหม่และได้อนุญาตให้โจทก์อาศัยใช้เข้าออกได้ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อนางยวดแบ่งขายที่ดินให้ผู้มีชื่อใน พ.ศ. ๒๔๙๔ ยังมิได้มีการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ เพราะยังมิได้มีการแบ่งแยกที่ดิน เพิ่งจะได้มาจดทะเบียนขายและโอนกรรมสิทธิ์กันเมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ ศาลฎีกาเห็นว่าอายุความที่จะได้ภารจำยอมในทางพิพาทต้องเริ่มนับแต่วันที่ได้มีการแบ่งแยกที่ดินและโอนกรรมสิทธิ์กันแล้ว เพราะก่อนการแบ่งแยกคงมีแต่ที่ดินโฉนดที่ ๑๙๑๕ แปลงเดียว โฉนดที่ดินของพวกโจทก์ยังหามีไม่ จึงไม่อาจจะนับเอาระยะเวลาก่อนการแบ่งแยกโฉนดเป็นการเริ่มต้นอายุความการได้มาซึ่งภารจำยอมเพื่อประโยชน์แก่ที่ดินของพวกโจทก์ได้ และเมื่อเริ่มนับอายุความตั้งแต่วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๔๙๕ ถึงวันที่โจทก์ฟ้องหาว่าจำเลยปิดกั้นทางพิพาท ก็ยังไม่ถึง ๑๐ ปี จึงยังไม่เกิดเป็นทางภารจำยอมโดยอายุความและฟังข้อเท็จจริงต่อไปว่า ที่ดินของพวกโจทก์ไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ นอกจากทางพิพาทนี้ทางเดียว และโดยเหตุที่ที่ดินของพวกโจทก์ได้แบ่งแยกมาจากที่ดินแปลงหมายเลข ๑๙๑๕ เมื่อการแบ่งแยกกันเป็นเหตุให้ที่ดินของพวกโจทก์ไม่มีทางออกไปสู่ทางสาธารณะ พวกโจทก์จึงมีสิทธิเรียกร้องเอาทางพิพาทได้ในฐานะที่เป็นทางจำเป็นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๔๙, ๑๓๕๐ แต่เห็นว่า ตามบทบัญญัติมาตรา ๑๓๔๙ วรรค ๓ แสดงว่าการใช้ทางจำเป็นต้องคำนึงถึงความจำเป็นของที่ดินที่ถูกล้อม และความเสียหายของที่ดินที่ล้อมอยู่ด้วย ความจำเป็นของโจทก์คือให้ได้มีทางออกสู่ถนนสาธารณะโดยสะดวก ซึ่งปรากฏว่าจำเลยได้เปิดทางให้โจทก์ได้ออกสู่ถนนสี่พระยาโดยตรงแล้ว และทางใหม่นี้ก็สามารถนำรถยนต์แล้วเข้าออกได้สะดวก แม้จะได้ความว่าโจทก์ต้องลอดตึก แต่ก็ไม่ทำให้ต้องเสียความสะดวกอย่างใด และถ้าไม่ย้ายทางจำเป็นของโจทก์ อาจทำให้จำเลยเสียหาย ศาลฎีกาจึงเห็นว่า จำเลยมีสิทธิเปลี่ยนย้ายทางจำเป็นของโจทก์ไปยังส่วนอื่นได้
พิพากษายืน

Share