คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1686/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการประมงและให้ริบของกลางที่จำเลยได้ใช้ในการกระทำความผิด ผู้ร้องยื่นคำร้องว่าเรือแปะกับเครื่องเรือพาดท้ายของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบนั้นเป็นของผู้ร้อง ขอให้สั่งคืนของกลางดังกล่าวแก่ผู้ร้อง โดยผู้ร้องมิได้กล่าวอ้างในคำร้องว่า ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด คำร้องเช่นนี้หาชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ไม่

ย่อยาว

คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดต่อพระราชบัญญัติการประมงและให้ริบอวนรุน 1 ปาก คันรุน 1 ชุด เรือแปะ 1 ลำ ติดเครื่องยนต์เรือ 1 เครื่อง ของกลางที่จำเลยใช้ในการกระทำความผิด

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า เรือแปะกับเครื่องเรือพาดท้ายของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบนั้นเป็นของผู้ร้อง ขอให้สั่งคืนของกลางดังกล่าวแก่ผู้ร้อง

โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วไม่ยื่นคำคัดค้าน

ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนคำร้อง แล้ววินิจฉัยว่า ตามคำร้องของผู้ร้องไม่มีข้อความแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลยหรือไม่ แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามคำร้องว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของเรือแปะและเครื่องยนต์ของกลางจริง ผู้ร้องก็จะมาร้องขอให้ศาลสั่งคืนไม่ได้ เพราะตามคำร้องฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย มีคำสั่งให้ยกคำร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงร้องขอคืนทรัพย์สินที่ศาลสั่งริบตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 จะต้องนำสืบพิสูจน์ว่าตนมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิด ศาลจึงจะสั่งคืนให้ ฉะนั้น ที่ผู้ร้องมิได้ระบุในคำร้องว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย จึงยังไม่เป็นเหตุที่จะยกคำร้องของผู้ร้องเสียได้ พิพากษายกคำสั่งศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนแล้วมีคำสั่งใหม่ตามรูปความ

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 เป็นบทบัญญัติกำหนดวิธีคืนทรัพย์สินที่ศาลริบไปแล้ว ซึ่งระบุไว้ว่าเมื่อศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 แล้ว ถ้าปรากฏตามคำเสนอของเจ้าของอันแท้จริงว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น ศาลจะต้องสั่งคืนทรัพย์สินแก่เจ้าของอันแท้จริงในเมื่อทรัพย์สินนั้นยังคงมีอยู่ จึงเห็นได้ชัดว่าศาลจะสั่งคืนทรัพย์สินได้ต่อเมื่อปรากฎในคำเสนอของเจ้าของอันแท้จริงว่าเป็นเจ้าของอันแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น ฉะนั้น ในคำเสนอจึงต้องระบุว่าเป็นเจ้าของอันแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น เพราะเจ้าของอันแท้จริงเป็นฝ่ายกล่าวอ้างหน้าที่นำสืบพิสูจน์ย่อมตกอยู่แก่เจ้าของอันแท้จริงซึ่งจะต้องนำสืบพิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเจ้าของอันแท้จริงและมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้นตามที่ยกขึ้นอ้างในคำเสนอ ศาลจึงจะสั่งให้คืนทรัพย์สินแก่เจ้าของอันแท้จริง

ตามคำร้องของผู้ร้องในคดีนี้ปรากฏว่าผู้ร้องคงอ้างเพียงว่า เรือแปะกับเครื่องเรือพาดท้ายของกลางที่ศาลพิพากษาให้ริบนั้นเป็นของผู้ร้อง มิได้อ้างว่าผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้น เมื่อผู้ร้องมิได้ยกขึ้นอ้างในคำร้อง ผู้ร้องจะนำสืบพิสูจน์ว่ามิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดนั้นหาได้ไม่ เพราะเป็นการนำสืบนอกคำร้อง จึงเป็นคำร้องที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ต้องยกคำร้อง

พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้ยกคำร้องของผู้ร้องตามคำสั่งศาลชั้นต้น

Share