แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สามีภริยาจดทะเบียนหย่าขาดจากกัน และทำสัญญากันไว้ว่าให้ภริยาเป็นผู้เลี้ยงดูบุตรโดยสามียอมส่งเงินค่าเลี้ยงดูบุตรให้ตามจำนวนที่กำหนด สัญญาดังกล่าวเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างสามีภริยาซึ่งมีอยู่และจะมีขึ้นให้เสร็จกันไป จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
เมื่อสามีผิดสัญญาไม่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูบุตร การที่ภริยามาฟ้องเรียกเงินค่าเลี้ยงดูบุตรจึงเป็นการฟ้องเรียกร้องให้สามีชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หาใช่เป็นคดีที่กล่าวอ้างถึงสิทธิเกี่ยวแก่บุตรที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลคดีเด็กและเยาวชนไม่
ตามสัญญาระบุว่า เมื่อภริยาสมรสใหม่จะต้องส่งบุตร 2 ใน 4 คนคืนแก่สามี หากภริยาส่งบุตร 2 คนคืนแก่สามีแล้ว สามีจะส่งค่าอุปการะเลี้ยงดูเฉพาะบุตรที่อยู่กับภริยาโดยลดจำนวนเงินลง ดังนี้ เมื่อปรากฏว่าสามีไม่ประสงค์รับบุตรไปอยู่ด้วย สามีก็ต้องส่งค่าเลี้ยงดูบุตรตามเดิม แต่ไม่ต้องส่งค่าเลี้ยงดูภริยาซึ่งสมรสใหม่แล้ว (ข้อกฎหมายตามวรรคแรกและวรรคสอง วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 11/2512)
ย่อยาว
โจทก์จำเลยสองสามีภริยามีภูมิลำเนาอยู่ต่างจังหวัด แต่โจทก์ยื่นคำร้องว่าได้จดทะเบียนหย่ากันที่จังหวัดพระนคร อันเป็นมูลกรณีที่ก่อให้เกิดการฟ้องร้อง และพยานส่วนมากอยู่ในจังหวัดพระนคร จึงขออนุญาตฟ้องต่อศาลแพ่ง ศาลแพ่งอนุญาต
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาหย่าไม่จ่ายค่าเลี้ยงดูบุตร ๔ คน ซึ่งมอบให้อยู่ในความปกครองของโจทก์ นับแต่เดือนกันยายน ๒๕๐๖ ตามสัญญาจำเลยจะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูบุตรร้อยละ ๓๕ ของเงินเดือน คิดถึงวันฟ้องเป็นเงินค้างจ่าย ๑๓,๕๙๗.๕๐ บาทขอให้บังคับจำเลยจ่ายพร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยจ่ายต่อไปตามสัญญาจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ
จำเลยต่อสู้ว่า โจทก์สมรสใหม่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ หมดสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดู และโจทก์ผิดสัญญาไม่ส่งบุตรคืนให้จำเลย ไม่มีสิทธิอาศัยสัญญามาฟ้องหากมีสิทธิก็เรียกได้ไม่เกินร้อยละ ๒๐ และตัดฟ้องว่า คดีนี้เป็นคดีเรียกเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ อยู่ในอำนาจศาลคดีเด็กและเยาวชน ไม่อยู่ในอำนาจศาลแพ่ง
ศาลชั้นพิพากษาให้จำเลยชำระค่าเลี้ยงดูบุตรค้างส่ง รวม ๑๓,๕๙๗.๕๐ บาท แต่ให้เสียดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องเฉพาะจำนวนเงิน ๗,๗๗๐ บาท และให้จำเลยส่งค่าเลี้ยงดูบุตรในอัตราร้อยละ ๒๐ ของเงินเดือน ทุก ๆ เดือนนับแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๐๘ แก่บุตร ๒ คนที่โจทก์เลือกไว้จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ และให้จำเลยส่งอีกร้อยละ ๑๕ ของเงินเดือนตั้งแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๐๘ แก่บุตรอีก ๒ คนที่โจทก์เลือกเพื่อจะส่งไปให้จำเลย แต่ยังอยู่กับโจทก์จนกว่าจำเลยจะจัดการให้โจทก์ส่งบุตรให้ตามสัญญา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยไม่ต้องส่งเงินอีกร้อยละ ๑๕ของเงินเดือนให้แก่บุตร ๒ คนสำหรับที่ค้างส่ง ๒๑ เดือน และต่อ ๆ ไปจนกว่าโจทก์จะส่งบุตร ๒ คนไปให้จำเลย
โจทก์ จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความในเบื้องต้นว่า โจทก์จำเลยได้จดทะเบียนหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และได้ตกลงกันเกี่ยวกับการเลี้ยงดูบุตรตามบันทึกท้ายการจดทะเบียนว่า ระหว่างอยู่กินด้วยกัน โจทก์จำเลยมีบุตรด้วยกัน ๔ คน ทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่าให้อยู่กับโจทก์ฝ่ายเดียวตลอดไปจนกว่าโจทก์จะทำการสมรสใหม่ เมื่อสมรสใหม่เมื่อใด โจทก์จะมอบบุตร ๒ คนคืนไปอยู่กับจำเลยโดยโจทก์เป็นฝ่ายเลือกบุตรก่อน จำเลยตกลงจะเป็นผู้ส่งค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์และบุตร ๔ คนเป็นเงินร้อยละ ๓๕ ของเงินเดือน จนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ เมื่อโจทก์สมรสใหม่และส่งมอบบุตรคืนให้แก่จำเลย ๒ คนแล้ว จำเลยจะส่งค่าอุปการะเลี้ยงดูเฉพาะบุตรที่อยู่กับโจทก์เพียงร้อยละ ๒๐ ของเงินเดือนจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ
มีปัญหาข้อแรกตามฎีการของจำเลยว่า ศาลแพ่งมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้หรือไม่
ศาลฎีกาได้พิจารณาโดยที่ประชุมใหญ่ว่า เห็นว่าสัญญาระหว่างโจทก์จำเลยสืบเนื่องมาจากโจทก์จำเลยตกลงหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากันและจำเลยตกลงให้โจทก์เลี้ยงดูบุตร และยอมส่งเงินค่าเลี้ยงดูบุตร ซึ่งโดยหน้าที่แล้วจำเลยเป็นผู้ปกครองและเลี้ยงดูบุตรในฐานะเป็นบิดา สัญญาดังกล่าวจึงเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นให้เสร็จกันไป อันเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ฉะนั้น ที่โจทก์ฟ้องคดีนี้จึงเป็นการฟ้องเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ หาใช่เป็นคดีที่กล่าวอ้างถึงสิทธิเกี่ยวแก่บุตรที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากบิดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๕๓๖ อันอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลคดีเด็กและเยาวชนกลางไม่ ศาลแพ่งจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้
มีปัญหาต่อไปว่า จำเลยจะต้องส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูตามสัญญาในระยะที่ค้างส่งให้โจทก์เป็นเงินเท่าใด และที่จะต้องส่งต่อไปอีกเป็นจำนวนเงินเท่าใด
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อโจทก์สมรสใหม่แล้วจำเลยไม่ประสงค์เอาบุตรไปอยู่กับจำเลยเอง การที่บุตรอยู่กับมารดาโจทก์ก็ไม่แตกต่างกับอยู่กับโจทก์ ดังนั้นที่จำเลยว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่ส่งบุตร ๒ คนไปให้เมื่อสมรสใหม่จึงฟังไม่ได้ และที่จำเลยฎีกาว่าโจทก์มีสามีใหม่แล้ว จำเลยควรส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูตามสัญญาเพียงร้อยละ ๒๐ ของเงินเดือน ก็ฟังไม่ขึ้น
เมื่อจำเลยไม่ประสงค์เอาบุตร ๒ คนไปเลี้ย จำเลยก็มีหน้าที่ส่งเงินค่าเลี้ยงดูบุตร ๔ คนตามเดิม แต่ที่ตกลงกันไว้ร้อยละ ๓๕ ของเงินเดือนนั้น ตามสัญญากล่าวว่า เมื่อโจทก์สมรสใหม่ จำเลยจะส่งค่าเลี้ยงดูให้เฉพาะบุตรเท่านั้น ส่วนของโจทก์และบุตรเท่าใด สัญญามิได้แยกไว้ ศาลฎีกาจึงคิดหักส่วนของโจทก์โดยเฉลี่ย ๑ ใน ๔ เหลือสำหรับบุตร ๔ คนร้อยละ ๒๘ ของเงินเดือนที่จำเลยได้รับในขณะที่จะต้องส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูตามสัญญา ซึ่งจำเลยได้รับเดือนละ ๑,๗๕๐ บาท รวมค้างส่ง ๒๑ เดือน เป็นเงิน ๑๐,๒๙๐ บาท
สำหรับดอกเบี้ยนั้น โจทก์ชอบที่จะเรียกได้จากจำนวนเงินค่าเลี้ยงดูบุตรที่จำเลยค้างส่ง แต่ศาลชั้นต้นให้ดอกเบี้ยเฉพาะในเงินจำวน ๗,๗๗๐ บาท โจทก์พอใจไม่อุทธรณ์ และในชั้นฎีกาโจทก์ฎีกาขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จึงได้ดอกเบี้ยเท่าที่ศาลล่างพิพากษา
พิพากษาแก้ ให้จำเลยส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ๔ คน ที่ค้างส่ง ๑๐,๒๙๐ บาท และดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ในเงินจำนวน ๗,๗๗๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ และให้จำเลยส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้ง ๔ คนในอัตราร้อยละ ๒๘ ของเงินเดือนที่จำเลยได้รับต่อไปทุก ๆ เดือน นับแต่เดือนมิถุนายน ๒๕๐๘ จนกว่าจำเลยจะรับบุตร ๒ คนไปตามสัญญา และจนกว่าบุตรที่อยู่กับโจทก์จะบรรลุนิติภาวะ หากจำเลยเอาบุตร ๒ คนไปเมื่อใด จำเลยจึงต้องส่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตร ๒ คน ที่อยู่กับโจทก์เพียงร้อยละ ๒๐ ของเงินเดือนที่จำเลยได้รับในขณะที่ต้องส่งเงินนั้น