คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1008/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการทำสัญญารับเหมาก่อสร้างเป็นหน้าที่ของผู้รับจ้างโดยตรงที่จะต้องระวังรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้น จึงมีหน้าที่พิจารณาด้วยตนเองว่า ผู้ว่าจ้างเป็นบุคคลมีหลักฐานสมควรที่ผู้รับจ้างเข้าทำสัญญาด้วยหรือไม่ การที่ผู้รับจ้างไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวย่อมเป็นความประมาทและเลี่ยงภัยของตนเอง ฉะนั้น แม้ผู้อื่นจะแจ้งแก่ผู้รับจ้างโดยไม่เป็นความจริงว่า ผู้ว่าจ้างเป็นคนร่ำรวยมีฐานะดีกับยังถือไม่ได้ว่าผู้อื่นทำกลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ สัญญารับเหมาก่อสร้างจึงไม่ตกเป็นโมฆียะ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๒ เป็นสมภารวัดไตรมิตรวราราม จำเลยที่ ๓ เป็นไวยาวัจกร ได้ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงโจทก์ให้รู้จักและหลงเชื่อว่าจำเลยที่ ๑ เป็นคนร่ำรวยฐานะดี มีสามีเป็นเศรษฐี โจทก์หลงเชื่อจึงได้เข้าทำสัญญารับเหมาก่อสร้างสะพานถวายวัด ซึ่งจำเลยที่ ๒ เป็นสมภาร โจทก์ได้สร้างสะพานใกล้จะเสร็จแล้ว จึงขอรับเงินค่าจ้างเหมาจากจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ ไม่มีเงินจ่ายให้ โจทก์จึงสืบทราบว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่คนร่ำรวยอย่างที่จำเลยที่ ๒ กล่าวอ้าง สัญญารับเหมาก่อสร้างสะพานระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงตกเป็นโมฆียะกรรม โจทก์ได้มีหนังสือบอกล้างสัญญาแล้ว สัญญาดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะกรรม โจทก์ได้ทำงานไปโดยสุจริต ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การต้องกันว่า มิได้สมคบกันหลอกลวงโจทก์ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญารับเหมาก่อสร้างสะพานท่าน้ำถวายวัดด้วยความสมัครใจ มิได้สำคัญผิดในตัวบุคคลหรือทรัพย์ โจทก์ได้ก่อสร้างสะพานผิดสัญญา จำเลยได้ขอร้องให้แก้ไขให้ถูกต้องโจทก์ไม่แก้ไขทำให้สะพานเอียงทรุดใช้การไม่ได้ จำเลยที่ ๑ จึงงดจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิได้ค่าจ้างตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์สำคัญผิดในฐานะของจำเลยที่ ๑ จนโจทก์ได้ตกลงรับเหมาก่อสร้างสะพานท่าน้ำเพราะกลฉ้อฉลของจำเลยที่ ๒ ซึ่งบอกโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ เป็นคนมีฐานะดี และจำเลยที่ ๑ ทราบดีว่าข้อที่จำเลยที่ ๒ บอกโจทก์ไม่เป็นความจริงและเป็นโมฆียะกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๑ จำเลยที่ ๑ ได้รับหนังสือบอกล้างแล้ว พิพากษาให้สัญญาพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นโมฆะให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ รับผิดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ และ ที่ ๔
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า โจทก์สมัครใจเข้าทำสัญญากับจำเลยที่ ๑ เป็นความผิดของโจทก์ที่ไม่สืบสวนฐานะอันแท้จริงของคู่สัญญา จำเลยยังมิได้รับมอบงานจากโจทก์ สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ สมบูรณ์ ใช้บังคับได้ ไม่เป็นโมฆียะกรรม พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๑ ที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เป็นหน้าที่ของโจทก์โดยตรงที่จะรักษาผลประโยชน์ของตนเอง โจทก์มีหน้าที่ต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ ๑ เป็นบุคคลมีหลักฐานสมควรที่โจทก์จะเข้าทำสัญญาด้วยหรือไม่ ซึ่งโจทก์สามารถสืบได้โดยไม่ยากนัก การที่โจทก์ไม่ปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนี้ ย่อมเป็นความประมาทของโจทก์เอง และเป็นการเลี่ยงภัยของโจทก์ด้วย เพียงแต่จำเลยที่ ๒ บอกโจทก์ว่าจำเลยที่ ๑ มีฐานะดีแม้จะไม่เป็นความจริง เพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๒ กระทำกลฉ้อฉลหลอกลวงโจทก์ โดยเหตุนี้สัญญาพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงสมบูรณ์ หาตกเป็นโมฆียะกรรมไม่
พิพากษายืน

Share