คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 173/2510

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 2 ถูกผู้เสียหายยิง แล้วได้ไปแจ้งความต่อจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกำนัน การที่จำเลยที่ 2 เรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายเพื่อตกลงเลิกคดีกัน และจำเลยที่ 1 ก็ได้พูดกับผู้เสียหายเป็นทำนองไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกันนั้น ดังนี้ จำเลยย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 148, 337

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นกำนัน ได้บังอาจร่วมกับจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นราษฎรธรรมดา เรียกนายฉ่ำ ปิ่นแก้ว ไปพบที่บ้านจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยทั้งสองได้กล่าวหาว่านายฉ่ำใช้อาวุธปืนยิง พยายามฆ่าจำเลยที่ ๒ แล้วจำเลยที่ ๑ ใช้อำนาจในตำแหน่งร่วมกับจำเลยที่ ๒ บังคับให้นายฉ่ำให้หาเงินให้ ๔,๐๐๐ บาท มามอบให้ แล้วจำเลยจะปล่อยตัวไป ถ้าไม่ให้เงินก็จะส่งไปดำเนินคดี นายฉ่ำกลัวจึงตกลงให้เงินจำเลยไป ๒,๗๐๐ บาท แล้วจำเลยทั้งสองจึงปล่อยตัวนายฉ่ำไป ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๑๔๘, ๓๑๐, ๓๓๗
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามมาตรา ๑๔๘ แต่เฉพาะจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงผู้สนับสนุนตามมาตรา ๘๖ ลดโทษแล้วคงจำคุกจำเลยที่ ๑ สามปีสี่เดือน จำเลยที่ ๒ สองปีหนึ่งเดือนยี่สิบวัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๒ ถูกผู้เสียหายยิง แล้วไปแจ้งความต่อจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๒ เรียกร้องเอาเงินจากผู้เสียหายเพื่อตกลงเลิกคดีนั้น เห็นว่าจำเลยที่ ๒ ไม่มีความผิด เพราะไม่มีเจตนาทุจริต ตามนัยฎีกาที่ ๔๒๖/๒๔๘๒ ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดร้อยเอ็ดโจทก์ นายจอม ลาขุนเหล็ก กับพวก จำเลย ทั้งจำนวนเงินที่เรียกร้องและที่ตกลงยินยอมให้กัน ก็ไม่เกินสมควรกับที่จำเลยที่ ๒ ต้องเสี่ยงกับความตายและได้รับบาดเจ็บและจำเลยที่ ๑ ไม่ได้มีเจตนาทุจริตที่จะบังคับขู่เข็ญตามฟ้องโจทก์แต่อย่างใด จำเลยที่ ๑ ไม่มีความผิดเช่นกัน พิพากษากลับ (ที่ถูกต้องเป็นแก้) คำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานั้น ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองได้สมคบร่วมกันทำการขู่เข็ญขืนใจผู้เสียหายแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นกำนันได้พูดกับผู้เสียหายว่า ถ้าไม่ยอมให้เงินแก่จำเลยที่ ๒ ก็จะส่งไปอำเภอจะต้องเสียเงินมากกว่านี้นั้น หาใช่คำขู่เข็ญแต่อย่างใดไม่ เพราะจำเลยอาจเห็นว่า ถ้าผู้เสียหายตกลงกับจำเลยที่ ๒ ไม่ได้ จำเลยที่ ๑ ก็ต้องส่งตัวผู้เสียหายไปอำเภอ ซึ่งจำเลยที่ ๑ คิดว่าถ้าเรื่องดำเนินต่อไป ผู้เสียหายจะสิ้นเปลืองเงินมาก จึงได้พูดเป็นทำนองไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกันก็ได้ ส่วนคดีสำหรับตัวจำเลยที่ ๒ นั้น ตามพฤติการณ์ที่ได้ความในเวลานั้น ผู้เสียหายก็เข้าใจว่าบาดแผลของจำเลยที่ ๒ นั้นคงเนื่องมาจากอาวุธปืนของผู้เสียหาย ในฐานที่จำเลยที่ ๒ ถูกยิงมีบาดเจ็บจำเลยจึงขอให้ผู้เสียหายชดใช้ค่าเสียหาย แล้วจำเลยจะไม่เอาความ เป็นเรื่องระหว่างจำเลยที่ ๒ และผู้เสียหายต่อรองกัน แม้จำเลยจะพูดว่า ถ้าไม่ยอมให้เงินแล้ว จำเลยจะขอให้ส่งตัวผู้เสียหายไปอำเภอ ซึ่งตามรูปเรื่องก็เป็นที่เข้าใจกันว่า เพื่อดำเนินคดีต่อไปเท่านั้น หาใช่เรื่องแกล้งกล่าวหาเพื่อจะขู่กรรโชกเอาเงินจากผู้เสียหายแต่อย่างใด
ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ ๒ ไม่มีเจตนาทุจริตนั้นชอบแล้ว ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับประโยชน์จากจำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๗๐๐ บาท แสดงว่าจำเลยทั้งสองได้มีเจตนาทุจริตร่วมกันขู่เข็ญเอาเงินจากผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยที่ ๑ หาได้รับเงินจากจำเลยที่ ๒ ดังโจทก์ฎีกาขึ้นมาไม่ กลับปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในเงินจำนวนนี้แต่อย่างใดเลย พิพากษายืน.

Share