แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 จึงมีคำสั่งให้รับฎีกาไปโดยผิดหลง จึงให้เพิกถอนคำสั่งรับฎีกาเป็นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า การที่จำเลยโอนที่ดินของตนไปเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่น เป็นการเบียดบังซ่อนเร้น ทำให้โจทก์เสียเปรียบและไม่สามารถบังคับคดีเอากับจำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 นั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย โปรดรับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยยังมิได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้กำหนด 2 ปีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 77)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 86)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกจำเลยมีกำหนด 6 เดือนศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีโจทก์ฎีกาว่าขอให้ศาลฎีกาไม่ให้รอการลงโทษแก่จำเลย จึงเป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจ ในการกำหนดโทษของศาล ส่วนฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยไม่ผ่อนชำระหนี้ตามข้อตกลงในคดีแพ่งแก่โจทก์ทั้งโอนทรัพย์สินของตนไปเป็นของบุคคลอื่น โจทก์ไม่สามารถบังคับชำระหนี้เอาจากทรัพย์ของจำเลยนั้น ก็เป็นเรื่องการผิดนัดไม่ชำระหนี้ในทางแพ่งไม่ได้เกี่ยวพันกับการกระทำความผิดในคดีนี้ ฎีกาของโจทก์ดังกล่าวล้วนแล้วแต่เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 219 ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์ชอบแล้ว