คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5647/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ยื่นอุทธรณ์โดยเสียค่าขึ้นศาลในลักษณะคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้กับคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยที่ 2 ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเงิน 400 บาท ต่อมาศาลอุทธรณ์เห็นว่าเป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และให้ศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นทุนทรัพย์ ศาลชั้นต้นตีราคาแล้วเรียกให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มขึ้น 95,000 บาท จำเลยที่ 2 ไม่ชำระ แต่ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ตกเป็นคนยากจนลงภายหลังแล้ว ชอบที่จะยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์ในภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ไว้แล้วได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระค่าเสียหาย ๑๐๑,๔๗๙.๔๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้บังคับจำเลยที่ ๒ ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจากตึกแถวเลขที่ ๕๐๗/๒, ๕๐๗/๓, ๕๐๗/๑๔๗ และ ๕๐๗/๑๔๘ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๐๓๓, ๑๔๐๓๔, ๑๔๐๘๘ และ ๑๔๐๘๙ ของโจทก์ และให้จำเลยที่ ๒ ชำระค่าเสียหาย ๒๐,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายเดือนละ ๒๐,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๒ ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไป
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและให้จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ ๑ ออกจากสารบบความ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๒ และบริวารขนย้ายสิ่งของออกไปจากตึกแถวเลขที่ ๕๐๗/๒, ๕๐๗/๓, ๕๐๗/๑๔๗ และ ๕๐๗/๑๔๘ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๐๓๓, ๑๔๐๓๔, ๑๔๐๘๘ และ ๑๔๐๘๙ และให้ชำระค่าเสียหายจำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท กับค่าเสียหายอีกเดือนละ ๑๖,๐๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๒ และบริวารจะขนย้ายสิ่งของออกไปจากตึกแถวและที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยที่ ๒ ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ ๗,๕๐๐ บาท
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ทำคำพิพากษาเสร็จ และได้ส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาและรายงานกระบวนพิจารณา ๑ ฉบับ ไปยังศาลชั้นต้นเพื่ออ่านให้คู่ความฟัง ศาลชั้นต้นได้อ่านรายงานกระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังก่อน โดยศาลอุทธรณ์มีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า คดีนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทรวมกับค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้อง แต่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๒ ชำระค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ แต่เฉพาะทุนทรัพย์สำหรับค่าเสียหายเท่านั้น ฉะนั้น ก่อนอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟังให้ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาที่ดินและตึกแถวพิพาท แล้วกำหนดเป็นทุนทรัพย์เพิ่มในชั้นอุทธรณ์ และให้จำเลยที่ ๒ ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ส่วนที่ยังขาดอยู่ให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นเห็นสมควร หากจำเลยที่ ๒ ไม่ชำระ ให้ศาลชั้นต้นส่งสำนวนพร้อมคำพิพากษาคืนศาลอุทธรณ์เพื่อดำเนินการต่อไป
วันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๔๒ ศาลชั้นต้นดำเนินการตีราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นเงิน ๓,๘๐๐,๐๐๐ บาท และสั่งให้จำเลยที่ ๒ ชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ในส่วนที่ยังขาดอยู่ให้ครบถ้วนภายใน ๑ เดือน นับแต่มีคำสั่ง วันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คำร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถา จำเลยที่ ๒ จะต้องยื่นพร้อมกับอุทธรณ์ จะกลับมายื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาอีกไม่ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๕๖ ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องให้เป็นพับ
จำเลยที่ ๒ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วมีคำสั่ง (ที่ถูกต้องทำเป็นคำพิพากษา) ว่า จำเลยที่ ๒ ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์โดยมิได้ยื่นคำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์มาด้วย คำร้องขอฟ้องคดีอย่างคนอนาถาต้องยื่นมาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ ทั้งกรณีไม่ใช่เป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ ตกเป็นคนยากจนในภายหลัง จึงต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๕๖ วรรคแรก ที่ศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ ๒ นั้น ชอบด้วยเหตุผลแล้ว หากจำเลยที่ ๒ ยังติดใจอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลชั้นต้น ให้นำเงินค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ส่วนที่ยังขาดมาชำระต่อศาลชั้นต้นภายใน ๑๐ วัน นับแต่วันทราบคำสั่งนี้
จำเลยที่ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๕๖ วรรคแรก หรือไม่ เห็นว่า แม้คำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ จะมิได้ยื่นมาพร้อมกับคำฟ้องอุทธรณ์ แต่ตามมาตรา ๑๕๖ วรรคแรก ตอนท้าย ก็ได้บัญญัติเป็นข้อยกเว้นไว้ว่า ถ้าคู่ความนั้นตกเป็นคนยากจนลงภายหลังจะยื่นคำขอในเวลาใด ๆ ก็ได้ จึงมีปัญหาว่าการที่จำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์แล้ว เพราะจำเลยที่ ๒ ไม่มีเงินชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่ยังขาดอยู่ตามที่ศาลอุทธรณ์เรียกให้ชำระ เป็นกรณีที่ถือได้ว่าจำเลยที่ ๒ ตกเป็นคนยากจนลงภายหลังหรือไม่ เห็นว่า หลักเกณฑ์การขอฟ้องหรือต่อสู้คดีอย่างคนอนาถาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.วิ.พ. มาตรา ๑๕๕ ไม่ใช่เรื่องที่คู่ความอ้างว่าเป็นคนยากจนเพียงอย่างเดียวแล้ว ศาลจะอนุญาตให้ได้ แต่ต้องได้ความว่าคนยากจนนั้นไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมด้วย คดีนี้ตอนยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์มาในลักษณะคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้กับคดีมีทุนทรัพย์ตามจำนวนค่าเสียหายที่จำเลยที่ ๒ ต้องรับผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นเงิน ๔๐๐ บาท แต่ต่อมาศาลอุทธรณ์เห็นว่าดคีนี้เป็นคดีที่มีคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้และให้ศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นทุนทรัพย์และเรียกให้จำเลยที่ ๒ ชำระค่าขึ้นศาลส่วนที่ยังขาดอยู่ ศาลชั้นต้นตีราคาที่ดินและตึกแถวพิพาทเป็นเงิน ๓,๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งเมื่อคำนวณแล้ว จำเลยที่ ๒ จะต้องชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์เพิ่มขึ้นเป็นเงิน ๙๕,๐๐๐ บาท เงินจำนวนนี้ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยที่คนทั่วไปสามารถหามาได้โดยง่าย ดังนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ถูกศาลชั้นต้นเรียกให้ชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มในจำนวนดังกล่าว แล้วยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ เป็นคนยากจน ไม่มีทรัพย์สินอื่นใดเพียงพอที่จะจำหน่ายจ่ายโอนนำเงินมาชำระเป็นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์ได้ ย่อมถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยที่ ๒ ตกเป็นคนยากจนลงภายหลัง ตามที่ได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๕๖ วรรคแรก แล้ว จำเลยที่ ๒ จึงชอบที่จะยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ในภายหลังที่ได้ยื่นคำฟ้องอุทธรณ์ไว้แล้วได้
พิพากษากลับ ให้รับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลในชั้นนี้ให้เป็นพับ.

Share