แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ฎีกาของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยใช้เงินคืนให้แก่ผู้เสียหายเพื่อแลกกับอิสรภาพ เมื่อผู้เสียหายยอมรับเงินคืนจากจำเลยย่อมเชื่อหรือสันนิษฐานได้ว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยเท่านั้น จำเลยมิได้อ้างว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลย ทั้งผู้เสียหายก็เบิกความว่ายังติดใจให้ดำเนินคดีแก่จำเลยอยู่เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี อันเป็นการยืนยันว่าผู้เสียหายไม่ได้ยอมความกับจำเลย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงจึงไม่ระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2542 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 3 พฤษภาคม 2542 เวลากลางวันต่อเนื่องกันตลอดมา จำเลยกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ จำเลยกับพวกร่วมกันประกอบธุรกิจจัดหางานให้นางวัลลภาคำแรต ซึ่งเป็นคนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศคือประเทศไต้หวันโดยเรียกและรับเงินค่าบริการเป็นการตอบแทน โดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนจัดหางานกลาง และโดยทุจริตจำเลยกับพวกร่วมกันหลอกลวงนางวัลลภา คำแรต ผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จและปกปิดข้อความจริงอันควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยกับพวกสามารถหางานและส่งผู้เสียหายไปทำงานเป็นพนักงานประกอบรถจักรยานหรือทำงานอื่นในประเทศไต้หวันได้ ได้รับเงินเดือน เดือนละ 15,840 บาท มีระยะเวลา3 ปี แต่จะต้องเสียเงินค่าบริการให้แก่จำเลยกับพวก 120,000 บาท ซึ่งเป็นความเท็จ ความจริงจำเลยกับพวกไม่สามารถหางานและส่งผู้เสียหายไปทำงานในประเทศไต้หวันในตำแหน่งและอัตราเงินเดือนดังกล่าวได้โดยการหลอกลวงของจำเลยกับพวก ทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นความจริงจึงสมัครไปทำงานและจ่ายเงินค่าบริการให้แก่จำเลยกับพวกไป 35,000 บาทขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 91, 83นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8290/2542 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341, 91, 83 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี เป็นความผิดหลายกรรมเรียงกระทงลงโทษ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจัดหางานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 3 ปี ฐานฉ้อโกงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 90 จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำเลยยอมคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายอันเป็นการรู้สึกถึงความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก4 ปี ยกคำขอให้นับโทษต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 8290/2542 ของศาลชั้นต้นนั้น เนื่องจากคดีดังกล่าวศาลยังไม่ได้พิพากษา
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 91, 83 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 ปี และปรับ 60,000 บาท จำเลยคืนเงินให้แก่ผู้เสียหายแล้ว เป็นการรู้สำนึกถึงความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิด มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี และปรับ 40,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยได้คืนเงิน 35,000บาท ให้แก่ผู้เสียหายเพราะผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงจึงระงับศาล จึงมิอาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดดังกล่าวได้นั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องฎีกาของจำเลยกล่าวแต่เพียงว่าจำเลยใช้เงินคืนให้แก่ผู้เสียหายเพื่อแลกกับอิสรภาพเมื่อผู้เสียหายยอมรับเงินคืนจากจำเลยย่อมเชื่อหรือสันนิษฐานได้ว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยเท่านั้น จำเลยมิได้อ้างว่าผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความกับจำเลยทั้งผู้เสียหายก็เบิกความว่า ผู้เสียหายได้รับเงิน35,000 บาท คืนจากจำเลยแล้ว แต่ยังติดใจให้ดำเนินคดีแก่จำเลยอยู่เพราะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี อันเป็นการยืนยันว่าผู้เสียหายไม่ได้ยอมความกับจำเลยสิทธินำคดีอาญามาฟ้องในความผิดฐานฉ้อโกงจึงไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ก็ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน