คำสั่งคำร้องที่ 1361/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามตามระมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จึงไม่รับจำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงหรือไม่และจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนหรือไม่ โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์และโจทก์ร่วมทั้งห้าได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 131,134)
ระหว่างพิจารณา นางเหี่ยงเทพนู กับพวก ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 จำคุก 3 ปี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 343 ประกอบกับมาตรา 86 จำคุก 2 ปีคำรับสารภาพชั้นจับกุมของจำเลยทั้งสองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง จึงลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 ปี 6 เดือน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้เงินแก่ผู้เสียหาย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ประกอบมาตรา 86 โดยให้ลงโทษจำคุกเท่าเดิม นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 122)
จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 125)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่เพียงเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปีจำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงไม่ได้ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 จำเลยทั้งสองฎีกาว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้หลอกลวงสามีโจทก์ร่วมทั้งห้าด้วยการนำความเท็จมากล่าว และจำเลยที่ 1 ก็ไม่ได้รับเงินค่าสมัครงานจากโจทก์ร่วมทั้งห้าและสามี ส่วนจำเลยที่ 2 ก็เพียงแต่นั่งอยู่เฉย ๆไม่ได้พูดอะไร จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานฉ้อโกง และจำเลยที่ 2 ก็ไม่มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนนั้น เป็นการโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงชอบแล้ว ให้ยกคำร้องของจำเลยทั้งสองเสีย

Share