แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 โจทก์ฎีกาเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม จึงไม่รับฎีกาของโจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้นไม่ต้องห้ามฎีกาโปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ จำเลยที่ 2 ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 84 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์มีมูล จึงมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 1 หลบหนี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีสำหรับจำเลยที่ 1 ชั่วคราว คงพิจารณาคดีเฉพาะจำเลยที่ 2ต่อไป
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 79)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 81)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้สลักหลังเช็คพิพาท พยานหลักฐานฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2 มีส่วนร่วมหรือรู้อยู่แล้วขณะลงลายมือชื่อสลักหลังเช็คพิพาทว่าเงินในบัญชีของจำเลยที่ 1 มีไม่พอจ่าย หรือจำเลยที่ 2มีเจตนาจะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง โจทก์ฎีกาว่าศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงไม่ถูกต้องเป็นการโต้เถียงการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง