คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2198/2531

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเมื่อโจทก์ยืนยันว่าข้อความที่จำเลยเบิกความเป็นความเท็จและเป็นข้อสำคัญในคดีคืออาจทำให้มีผลแพ้ชนะคดีกันได้ ก็เพียงพอแล้วที่จะฟังว่าคดีมีมูลส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร เท็จหรือไม่เท็จ ก็จะต้องฟังพยานในชั้นพิจารณาต่อไป การฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จ หาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่ เพราะความผิดฐานเบิกความเท็จเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีของโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่าโจทก์ได้ฟ้องจำเลยตามเอกสารหมาย จ.3 จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาค้ำประกันตามเอกสารหมาย จ.1, จ.2 และจำเลยได้เบิกความไว้ที่ศาลแพ่งตามสำเนาที่ศาลแพ่งได้รับรองถูกต้องปรากฏตามเอกสารหมาย จ.5 จริง ปัญหาในชั้นนี้มีว่าสมควรประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปหรือไม่ตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมา เห็นว่าในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 7092/2529 โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันจำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไม่เคยลงลายมือชื่อ ลายมือชื่อที่ปรากฏในสัญญาค้ำประกันเป็นลายมือชื่อปลอม และจำเลยได้เบิกความยืนยันตามคำให้การ โจทก์จึงฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ว่าจำเลยเบิกความเท็จเพราะความจริงจำเลยลงลายมือชื่อไว้โดยโจทก์บรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 177 แห่งประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยจะให้การรับหรือปฏิเสธอย่างไรก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรค 2 รวมทั้งการเบิกความตามคำให้การนั้นก็เป็นการเบิกความตามสิทธิของจำเลยโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์อุทธรณ์ว่าข้อวินิจฉัยของศาลชั้นต้นยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะจำเลยอ้างตนเองเป็นพยานในคดีแพ่งก็ต้องเบิกความตามความเป็นจริง แต่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อกฎหมายข้อนี้ จึงฎีกาขึ้นมาอีก ในเรื่องนี้เห็นว่าแม้จำเลยอ้างตนเองเป็นพยานก็ต้องเบิกความในฐานะเป็นพยานในคดีแพ่ง ซึ่งจะต้องเบิกความตามความสัตย์จริง มิฉะนั้นก็อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 ได้ ถ้าการเบิกความอันเป็นเท็จนั้นเป็นข้อสำคัญในคดี ส่วนคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ที่ว่าจำเลยเบิกความปฏิเสธว่าไม่ได้ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันอาจไม่เป็นความเท็จก็ได้ เพราะโจทก์จำเลยยังโต้เถียงกันอยู่ในข้อนี้จึงเห็นด้วยในผลที่ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องมาซึ่งโจทก์ฎีกามาว่าคำเบิกความของจำเลยอาจเป็นเท็จก็ได้ จึงสมควรประทับรับฟ้องคดีของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปนั้น ในปัญหาข้อนี้เห็นว่า คำเบิกความของจำเลยในคดีแพ่งดังกล่าวยังไม่ยุติว่า จะเป็นความเท็จตามฟ้องหรือไม่จึงสมควรฟังคำพยานโจทก์ในชั้นพิจารณาต่อไป ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องเมื่อโจทก์ยืนยันว่าข้อความที่จำเลยเบิกความตามเอกสารหมาย จ.5เป็นความเท็จ และเป็นข้อสำคัญในคดีคืออาจทำให้มีผลแพ้ชนะคดีกันได้ก็เพียงพอแล้วที่จะฟังว่าคดีมีมูลพอที่จะฟ้องร้องกันได้ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร เท็จหรือไม่เท็จก็จะต้องฟังพยานในชั้นพิจารณาต่อไป อีกทั้งการฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยเบิกความเท็จหาจำต้องรอให้ศาลพิพากษาคดีที่จำเลยเบิกความเท็จเสียก่อนไม่เพราะความผิดฐานเบิกความเท็จเกิดตั้งแต่จำเลยเบิกความอีกเป็นเท็จในการพิจารณาคดีต่อศาลในคดีนั้นแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ประทับฟ้องโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป”

Share