แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าถือไม่ได้ว่าเงินสด 250,000 บาท เป็นวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิด ไม่ริบ ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าไม่พอฟังว่าเงินจำนวนดังกล่าวเป็นวัตถุที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษอันจะต้องริบตามกฎหมาย พิพากษายืน เป็นการพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงทั้งสองศาล ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ที่แก้ไขแล้วจึงไม่รับ
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่า ศาลมีอำนาจสั่งริบเงินสดของกลางจำนวน 250,000 บาท ที่เหลือจากการซื้อเฮโรอีนได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1) เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยที่ 3 แถลงคัดค้าน (อันดับ 212)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า ฯลฯ จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง ให้ประหารชีวิตคำรับสารภาพชั้นจับกุมและสอบสวนของจำเลยที่ 3เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกตลอดชีวิตและจำเลยที่ 3 ยังมีความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522มาตรา 81 ปรับ 4,000 บาท ฯลฯ ริบเฮโรอีนและรถยนต์ของกลางเว้นเงินสด 250,000 บาท แม้จะฟังว่าจะนำมาซื้อเฮโรอีน แต่เมื่อยังไม่ได้ซื้อ ถือไม่ได้ว่า เป็นวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิดจึงไม่ริบให้คืนเจ้าของ
โจทก์และจำเลยที่ 3 ต่างฎีกา เฉพาะฎีกาของโจทก์ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 207,204)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 209)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เงินจำนวน 250,000 บาทของกลาง แม้ฟังว่าจะนำมาซื้อเฮโรอีน แต่เมื่อยังไม่ใช้ซื้อถือไม่ได้ว่า เป็นวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำผิด จึงไม่ริบ ให้คืนเจ้าของนั้นเท่ากับวินิจฉัยว่า เงินที่จำเลยเตรียมไว้ซื้อเฮโรอีน ริบไม่ได้เป็นการสั่งไม่ริบโดยอาศัยข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามฎีกาจึงให้รับฎีกาของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไป