คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในคดีก่อนโจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองและ น. ว่าจำเลยที่ 2ไม่มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจากโจทก์และศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าคำสั่งกรุงเทพมหานครที่ 3717/2518 ที่แต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจากโจทก์เป็นคำสั่งที่ถูกต้องกับต้นฉบับและรับฟังได้ การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้อีกโดยขอให้พิพากษาว่าคำสั่งกรุงเทพมหานครฉบับดังกล่าวใช้ไม่ได้ และจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจำนวนเดิม ซึ่งเป็นประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องซ้ำ.(ที่มา-เนติ)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าในคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยว่าประเมินเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจากโจทก์ไม่ถูกต้องจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจประเมินเพราะไม่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่และพนักงานเก็บภาษีขอให้คืนเงินที่เรียกเก็บแก่โจทก์จำเลยให้การในคดีก่อนว่าการประเมินถูกต้องจำเลยที่ 2 มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีในระหว่างพิจารณาจำเลยอ้างคำสั่งกรุงเทพมหานครที่ 3717/2518 เป็นพยานเป็นเหตุให้ศาลเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวถูกต้องและจำเลยที่ 2 มีอำนาจประเมินภาษีโรงเรือนแต่ความจริงคำสั่งดังกล่าวไม่มีกำหนดไว้ในประกาศกรุงเทพมหานครจึงใช้ไม่ได้จำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนจากโจทก์ขอให้พิพากษาว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนตามที่โจทก์เสียไปให้จำเลยใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การต่อสู้หลายประเด็นโดยต่อสู้ข้อหนึ่งว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์อุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘เห็นว่าตามคำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าคำสั่งกรุงเทพมหานครที่ 3717/2518ไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนจากโจทก์ ซึ่งประเด็นดังกล่าวนี้โจทก์เคยฟ้องจำเลยทั้งสองร่วมกับคุณหญิงนันทกา สุประภาตะนันทน์เป็นจำเลยเรื่องการประเมินภาษีไม่ถูกต้องอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีอำนาจโดยชอบด้วยกฎหมายที่จะเรียกเก็บค่าภาษีโรงเรือนจากโจทก์ และศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาที่ 3981/2524 วินิจฉัยแล้วว่าคำสั่งกรุงเทพมหานครที่ 3717/2518 (เอกสารหมาย ล.2 ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 13565/2521 ของศาลชั้นต้น) ถูกต้องกับต้นฉบับและรับฟังได้จำเลยที่ 2 มีอำนาจประเมินและเรียกเก็บภาษีโรงเรือนและที่ดินจากโจทก์ การที่โจทก์นำคดีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วมาฟ้องอีกในประเด็นที่ได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกันจึงเป็นฟ้องซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148 ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต้องกันให้ยกฟ้องจึงชอบแล้วฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืนให้โจทก์ใช้ค่าทนายความชั้นฎีกาแทนจำเลย 600 บาท’.

Share