แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยก็ยังโต้เถียงดุลพินิจในการฟังข้อเท็จจริงของศาลอุทธรณ์อีกเป็นฎีกาข้อเท็จจริง ต้องห้ามไม่รับฎีกาจำเลย
จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์มิได้นำพยานหลักฐานทั้งหมดในสำนวนคดีมาวินิจฉัยร่วมกัน เป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341,91 ฯลฯ รวม 7 กระทง จำคุกกระทงละ 8 เดือนรวมจำคุก 4 ปี 8 เดือน ฯลฯ
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งดังกล่าว (อันดับ 136)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 137)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ศาลล่างทั้งสองฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้นำเงินมาร่วมลงทุนค้าผ้าไหมกับจำเลยอันเป็นความเท็จ ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานของโจทก์ไม่ได้ความดังกล่าว หากแต่ฟังได้ว่า ผู้เสียหายเป็นฝ่ายให้จำเลยกู้ยืมเงินนั้น เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง