แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสามมีเจตจำนงร่วมกันที่จะเข้าแย่งผู้เสียหายจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย ดังนั้น การที่จำเลยคนหนึ่งเข้ากำจัดขัดขวางผู้ตายด้วยวิธีการใดก็ตาม ก็ย่อมอยู่ในวิถีเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยทุกคน ซึ่งจำเลยทุกคนอาจเล็งเห็นผลแห่งการกระทำนั้นได้ ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกัน
การที่จำเลยใช้ไม้ไผ่ตันมีรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วก้อย ยาวประมาณ 2 ศอก โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร ตีผู้ตายอย่างแรง 1 ทีถูกศีรษะเป็นบาดแผลถึงขนาดทำให้กะโหลกศีรษะแตกแยกเป็น 4 เสี่ยง มีเลือดออกในและรอบ ๆ กะโหลกศีรษะมาก แสดงให้เห็นว่าจำเลยย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำอาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้เป็นเจตนาฆ่าให้ตาย
แย่งหญิงไปจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเรา ผู้ตายขัดขวางจึงทำร้ายผู้ตายถึงตาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้กำลังกายเข้ากอดปล้ำข่มขืนกระทำชำเรานางสาวไสว เหวี่ยน จนสำเร็จความใคร่คนละ 1 ครั้ง อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิงและจำเลยทั้งสามได้ร่วมกันใช้ไม้เป็นอาวุธตีทำร้ายฆ่านายบุญเรือง ศิริดำรงค์ จนถึงตายเพื่อความสะดวกในการที่จำเลยกระทำข่มขืนชำเราและเพื่อปกปิดการกระทำผิด ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289, 276, 281, 83 และริบของกลาง
จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธฐานข่มขืน รับว่าตีทำร้ายผู้ตายแต่ไม่มีเจตนาฆ่า
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ให้การกระทำเพียงกอดปล้ำนางสาวไสว ไม่ได้ข่มขืนกระทำชำเรา และไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ฆ่านายบุญเรือง
ศาลชั้นต้นเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดจริงตามฟ้อง พิพากษาว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 289(6)(7), 276, 281, 83 ให้ลงโทษเฉพาะกระทงหนักที่สุด มาตรา 289(6) (7) ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ประกอบด้วยมาตรา 52 (2) ลดมาตราส่วนโทษตามมาตรา 75, 76 ให้จำเลยคนละกึ่งแล้ววางโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 15 ปี ลดโทษให้ตามมาตรา 78 อีกคนละ 1 ใน 3 คงจำคุกคนละ 10 ปี ไม้ของกลางริบ
จำเลยทั้ง 3 และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้ง 3 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยทั้งสามได้ร่วมข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย อันเข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิง พิเคราะห์รูปคดีแล้วเห็นว่า จำเลยทั้ง 3 มีเจตจำนงร่วมกันที่จะแย่งผู้เสียหายจากผู้ตายเพื่อข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย การที่จำเลยคนหนึ่งเข้ากำจัดขัดขวางผู้ตายด้วยวิธีใดก็ตาม ก็ย่อมจะอยู่ในวิถีทางเพื่อประโยชน์ร่วมกันของจำเลยทุกคน ซึ่งจำเลยทุกคนอาจเล็งเห็นผลแห่งการกระทำนั้นได้ เมื่อผู้เสียหายเบิกความว่าเมื่อจำเลยที่ 2 เข้ากอดปล้ำผู้เสียหาย ผู้เสียหายร้องให้ผู้ตายช่วย จำเลยที่ 2ได้ร้องว่า ฆ่ามันให้ตายอย่าให้มันช่วย ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 ทำร้ายผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ย่อมต้องร่วมกันรับผิดเป็นตัวการร่วมกระทำผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1
ปรากฏว่า ไม้ไผ่ของกลางอันเป็นอาวุธที่จำเลยใช้ทำร้ายเป็นไม้ไผ่ตันมีรูเล็ก ๆ ขนาดนิ้วก้อย ยาวประมาณ 2 ศอก โตขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 6 เซนติเมตร บาดแผลที่ผู้ตายได้รับเป็นบาดแผลรุนแรงถึงขนาดทำให้กะโหลกศีรษะแตกแยกเป็น 4 เสี่ยง ย่อมแสดงให้เห็นว่า เกิดจากการถูกตี ไม่ใช่ถูกขว้าง และการที่จำเลยที่ 1 ใช้อาวุธดังกล่าวตีผู้ตายอย่างรุนแรงจนเกิดบาดแผลเช่นนั้น จำเลยที่ 1 ย่อมเล็งเห็นผลแห่งการกระทำได้ว่า อาจทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จำเลยทุกคนจึงมีความผิดฐานสมคบร่วมกันฆ่าผู้ตายโดยเจตนาประกอบด้วยเหตุฉกรรจ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(6)
พิพากษายืน