แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของโจทก์ทุกข้อเป็นปัญหาข้อเท็จจริง จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220โจทก์เห็นว่า โจทก์ได้ฎีกาว่าข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์รับฟังมาเป็นที่ยุติแล้วว่า จำเลยได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญากับโจทก์ เพื่อให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญาจริง ดังนั้นปัญหาที่ว่า การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดต่อกฎหมายตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ จึงเป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ จำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 63 แผ่นที่ 2)
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137,172,173,174,91
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีโจทก์ไม่มีมูลพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 56)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 57)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า จำเลยขาดเจตนาแจ้งความเท็จ จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาแจ้งความเท็จนั้นเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาของโจทก์จึงชอบแล้วให้ยกคำร้อง