คำสั่งคำร้องที่ 2301/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ ที่พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ทั้งผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณา และพิพากษาคดีนี้เห็นว่าไม่มีเหตุที่จะรับรองให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ทั้งเมื่อพิจารณาฎีกาของโจทก์แล้วเห็นว่าเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์ คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาแก่โจทก์
โจทก์เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยและพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นซึ่งเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่ง ให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีสองสำนวนนี้กับคดีหมายเลขแดงที่ 8/2535 และหมายเลข แดงที่ 9/2535 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รวมพิจารณา พิพากษาเข้าด้วยกันโดยเรียกจำเลยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 และเรียกจำเลยทั้งสองสำนวนในคดีนี้ว่าจำเลยที่ 3 และที่ 4 ตามลำดับ แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยุติไปแล้ว คงขึ้นมาสู่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 เฉพาะคดีสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 4
โจทก์ฟ้องทั้งสองสำนวนใจความทำนองเดียวกันว่าโจทก์เป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 888 เลขที่ดิน 39 ตำบลคึกคัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา จำนวนเนื้อที่ 95 ไร่ 2 งาน67 ตารางวา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2532 จำเลยที่ 3 และที่ 4 ได้โต้แย้งคัดค้านการที่โจทก์นำเจ้าหน้าที่ทำการรังวัดสอบเขต ที่ดินแปลงดังกล่าว จำเลยที่ 3 อ้างว่ามีสิทธิครอบครองที่ดิน ของโจทก์ด้านทิศเหนือจำนวนเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ และจำเลย ที่ 4 อ้างว่ามีสิทธิครอบครองที่ดินของโจทก์ด้านทิศตะวันออก จำนวนเนื้อที่ประมาณ 15 ไร่ รายละเอียดตามรูปแผนที่จำลอง ท้ายฟ้อง อันเป็นการแย่งการครอบครอง ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และโจทก์มีสิทธิดีกว่าจำเลยทั้งสอง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน (สำนวนที่สาม และสำนวนที่สี่)
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์(อันดับ 141)
โจทก์ยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 146)

คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว โจทก์ฎีกาว่า คำให้การจำเลยที่ 3 ที่ 4ไม่มีประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองที่ดิน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3วินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องเรียกเอาที่ดินคืนจากจำเลยเกินกว่า 1 ปีนับแต่เวลาถูกแย่งการครอบครอง จึงหมดสิทธิฟ้องเรียกเอาคืน ที่ดินจากจำเลยที่ 3 ที่ 4 เป็นการวินิจฉัยนอกฟ้องนอกประเด็น นั้น แม้จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย แต่เมื่อคดีนี้ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริง และศาลอุทธรณ์ภาค 3 รับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 3 ที่ 4 ครอบครองทำประโยชน์ที่พิพาทมาตั้งแต่ ปี 2519 จนถึงวันฟ้อง ข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นอันยุติไปตาม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ดังนั้นปัญหาข้อกฎหมายที่โจทก์ฎีกาย่อมไม่อาจทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป การที่ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 วินิจฉัยประเด็นในเรื่องการแย่งการครอบครองก็เป็น การวินิจฉัยเกินเลยไปจากคำฟ้องและคำให้การ แต่ข้อเท็จจริง ต้องฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ 3ที่ 4 เป็นผู้มีสิทธิครอบครอง อยู่นั่นเอง ฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับ การวินิจฉัย ให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ

Share