คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2765/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เงินบำนาญเป็นเงินที่ทางราชการจ่ายให้แก่ข้าราชการผู้ที่พ้นจากราชการแล้วตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเมื่อข้าราชการผู้นั้นมีคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายยังมีชีวิตอยู่จึงเป็นการได้เงินมาในระหว่างสมรสย่อมถือว่าเงินบำนาญนั้นเป็นสินสมรส การที่จำเลยที่ 1 นำเงินบำนาญมาซื้อที่ดิน และต่อมาได้ปลูกสร้างบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินในระหว่างสมรสเช่นนี้ที่ดินและบ้านจึงเป็นสินสมรสตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ที่ได้ตรวจชำระใหม่ มาตรา 1474(1)ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หาใช่สินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีที่ดินเป็นสินสมรส 1 แปลง พร้อมบ้านเลขที่ 57/1 ซึ่งปลูกในที่ดินดังกล่าวรวมราคา 300,000 บาท จำเลยที่ 1 ขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการโอน
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินตามฟ้องโจทก์ไม่ใช่สินสมรสเพราะจำเลยที่ 1 ใช้เงินบำนาญซื้อจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินจำเลยที่ 2 จำนวน 200,000 บาท มาใช้ในการสร้างบ้าน จำเลยที่ 1 มีสิทธิขายที่ดินตามฟ้องโดยไม่จำต้องได้รับความยินยอมจากโจทก์ จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพร้อมบ้านโดยสุจริตและมีค่าตอบแทน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 7934 เล่ม 80 หน้า 34เลขที่ดิน 121 หน้าสำรวจ 952 ตำบลศิลาดาน อำเภอมโนรมย์จังหวัดชัยนาท ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่13 มกราคม 2530 ให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนการโอน ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์อนุญาต
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7934พร้อมบ้านบนที่ดินเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์หรือไม่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เดิมจำเลยที่ 1 รับราชการเป็นครูต่อมาได้ลาออกจากราชการ จำเลยที่ 1 ได้รับบำนาญจากทางราชการและได้เอาเงินบำนาญมาซื้อที่ดินจากนางอู่ และต่อมาได้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินนั้น เห็นว่า เงินบำนาญเป็นเงินที่ทางราชการจ่ายให้แก่ข้าราชการผู้ที่พ้นจากราชการแล้วตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เมื่อข้าราชการผู้นั้นมีคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นการได้เงินมาในระหว่างสมรสย่อมถือว่าเงินบำนาญนั้นเป็นสินสมรส ดังนั้น เงินบำนาญที่จำเลยที่ 1ได้รับจากทางราชการจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1เมื่อจำเลยที่ 1 นำเงินนั้นมาซื้อที่ดินและต่อมาได้ปลูกสร้างบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินในระหว่างสมรส เช่นนี้ ที่ดินและบ้านจึงเป็นสินสมรสตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่มาตรา 1474(1) ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้นหาใช่สินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่
พิพากษายืน

Share