แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ฯ ศาลชั้นต้นสั่งฎีกาว่า ผู้ซื้อทรัพย์มีหน้าที่ต้องชำระค่าขึ้นศาลพร้อมกับการยื่นฎีกาแต่ผู้ซื้อทรัพย์มิได้ชำระค่าขึ้นศาล จึงไม่รับฎีกาเพื่อดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปและมีคำสั่งยกคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ซื้อทรัพย์ทั้งสองฉบับ
ผู้ซื้อทรัพย์เห็นว่า เดิมศาลชั้นต้นได้สั่งรับฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์และผู้ซื้อทรัพย์ก็ได้ชำระค่าธรรมเนียมในการส่งหมายไว้แล้ว แต่เจ้าพนักงานศาลไม่ได้เรียกค่าขึ้นศาล ต่อมาศาลชั้นต้นกลับมีคำสั่งใหม่ว่า ผู้ซื้อทรัพย์ไม่ชำระค่าขึ้นศาลจึงไม่รับฎีกาคำสั่งใหม่นี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลชั้นต้นชอบที่จะสั่งให้ผู้ซื้อทรัพย์ชำระค่าขึ้นศาลเสียก่อนที่จะสั่งรับหรือไม่รับฎีกา ซึ่งผู้ซื้อทรัพย์ก็พร้อมอยู่แล้วที่จะปฏิบัติตามคำสั่งนอกจากนี้การที่เจ้าพนักงานศาลลืมเรียกค่าขึ้นศาลก็เป็นเรื่องบกพร่องผิดพลาดของเจ้าพนักงานศาลเอง จะปรับเป็นโทษแก่ผู้ซื้อทรัพย์ว่าผู้ซื้อทรัพย์มีหน้าที่ต้องชำระค่าขึ้นศาลพร้อมกับยื่นฎีกาแต่มิได้ชำระไม่ได้ คดีนี้ผู้ซื้อทรัพย์ได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของศาลเกี่ยวกับการชำระค่าฤชาธรรมเนียมทุกประการแล้วขอศาลฎีกาได้โปรดมีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นเรียกให้ผู้ซื้อทรัพย์ชำระค่าขึ้นศาลและสั่งรับฎีกาพร้อมด้วยคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ของผู้ซื้อทรัพย์ไว้พิจารณาต่อไป
หมายเหตุ เจ้าพนักงานบังคับคดีได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 47) ส่วนโจทก์และจำเลยไม่ปรากฏหลักฐานว่าได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่
คดีสืบเนื่องจากผู้ซื้อทรัพย์ได้ซื้อที่ดิน 2 แปลง จากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม 2532 ในราคา 19,950,000 บาท และได้วางมัดจำเป็นเงิน 4,987,500 บาท ส่วนที่เหลือจะต้องชำระภายใน 15 วันผู้ซื้อทรัพย์ยื่นคำร้องให้ขยายเวลาการชำระเงินส่วนที่เหลือจำนวน14,962,500 บาท โดยอ้างว่าจำเลยและผู้สู้ราคารายอื่นได้คัดค้านการขายทอดตลาดรายนี้ โดยขอให้เพิกถอนการขาย คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ หากผู้ซื้อทรัพย์ต้องชำระเงินโดยที่การซื้อขายอาจถูกเพิกถอนได้ในภายหน้าก็จะทำให้ผู้ซื้อทรัพย์ได้รับความเสียหาย ขอให้รับเงินไว้เป็นประกันความเสียหายเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ แล้วคืนเงินจำนวน3,990,000 บาท แก่ผู้ซื้อทรัพย์และขยายระยะเวลาการวางเงินจำนวนดังกล่าวไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้ผู้ซื้อทรัพย์นำเงิน14,962,500 บาท มาชำระต่อศาลชั้นต้นภายในกำหนด 7 วัน นับแต่วันฟังคำพิพากษา
ผู้ซื้อทรัพย์ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับและคำร้องขอคุ้มครองประโยชน์ฯ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาและให้ยกคำร้องดังกล่าว (อันดับ 29,30,31)
ผู้ซื้อทรัพย์จึงยื่นคำร้อง (อันดับ 40)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ตามพฤติการณ์แห่งคดี เห็นว่าผู้ซื้อทรัพย์ไม่มีเจตนาที่จะไม่เสียค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ศาลอาจจะเรียกให้ผู้ซื้อทรัพย์เสียเฉพาะค่าแต่งทนายชั้นฎีกาและค่าคำร้องฎีกาตามใบเสร็จรับเงินท้ายฎีกาก็เป็นได้ ทั้งศาลชั้นต้นด่วนสั่งไม่รับฎีกาของผู้ซื้อทรัพย์ไปเลยโดยที่มิได้เรียกหรือให้โอกาสผู้ซื้อทรัพย์ได้เสียค่าขึ้นศาล จึงมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับฎีกา ให้ผู้ซื้อทรัพย์นำค่าขึ้นศาลชั้นฎีกามาวางต่อศาลชั้นต้นภายใน 7 วัน นับแต่วันฟังคำสั่งนี้แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป