คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 109/2508

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 23 วรรค 2 นั้นการโอนคดีไปชำระยังศาลอื่น กฎหมายให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งตามสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี และเหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องนายวิเชียรหรือกวงจำเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ขอให้ลงโทษฐานบุกรุกทำให้เสียทรัพย์ตามมาตรา ๓๕๘, ๓๖๒ ศาลไต่สวนคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง เพิ่มนายแดงเป็นจำเลยที่ ๒ และเพิ่มความผิดให้ลงโทษตามมาตรา ๓๖๕, ๘๓ ศาลแขวงพระนครเหนือเห็นว่าข้อหาตามมาตรา ๓๖๕ เกินอำนาจ ยกคำร้อง
โจทก์นำคดีข้อหาเดียวกันนี้ไปฟ้องต่อศาลอาญา โดยจำเลยนี้เป็นจำเลยที่ ๑ นายแดงเป็นจำเลยที่ ๒ ขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๕๘, ๓๖๒, ๓๖๕, ๘๓ ศาลอาญาไต่สวนคดีมีมูล สั่งประทับฟ้อง
โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลแขวงพระนครเหนือขอโอนคดีนี้ไปรวมพิจารณากับคดีของศาลอาญา
จำเลยคัดค้าน
ศาลแขวงพระนครเหนือสั่งให้โอนคดีไปรวมพิจารณากับคดีที่ศาลอาญา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓ จำหน่ายคดี
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลแขวงพระนครเหนือสั่งโอนคดี ศาลอาญาได้รับไว้ดำเนินการพิจารณาแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๓ วรรค ๒ ว่า “ถ้าโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลซึ่งความผิดเกิดขึ้นในเขต แต่ต่อมาความปรากฏแก่โจทก์ว่า การพิจารณาคดีจะสะดวกยิ่งขึ้นถ้าให้อีกศาลหนึ่งซึ่งมีอำนาจชำระคดีได้พิจารณาคดีนั้น โจทก์จะยื่นคำร้องต่อศาลซึ่งคดีนั้นอยู่ในระหว่างพิจารณา ขอโอนคดีไปอีกศาลหนึ่งก็ได้ แม้ว่าจำเลยจะคัดค้านก็ตาม เมื่อศาลเห็นสมควรจะโอนคดีไปหรือยกคำร้องเสียก็ได้” เห็นได้ว่า การโอนคดีไปชำระยังศาลอื่นนั้น กฎหมายให้ศาลใช้ดุลพินิจสั่งตามสมควรแก่พฤติการณ์แห่งคดี และเหตุผลเป็นเรื่อง ๆ ไป ที่ศาลอุทธรณ์ว่า หากให้สองศาลต่างพิจารณาพิพากษาไป พยานจะต้องเบิกความสองครั้งสองหน จะเป็นเหตุให้การชี้ขาดตัดสินผิดแผกต่างกัน ไม่สมควรให้เกิดมีขึ้น ถ้าให้พิจารณาพิพากษารวมกันจะเป็นที่เรียบร้อยสะดวกยิ่งขึ้น นั้นดีแล้ว
ส่วนการที่ศาลอาญาสั่งรับคดีไว้จะเป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ยังไม่เป็นประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นนี้
พิพากษายืน

Share