แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ลงโทษปรับจำเลย ฎีกาของจำเลยเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคแรก จึงไม่รับฎีกาของจำเลย
จำเลยเห็นว่า คดีนี้จำเลยได้นำสืบให้เห็นแล้วว่า จำเลยได้ชำระค่าภาษีในสินค้าของกลางถูกต้องแล้ว แต่การที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยมิได้นำสืบให้ชัดว่าได้เสียภาษีถูกต้องตามกฎหมายนั้นจึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาข้อนี้จึงเป็นการตีความหมายของข้อกฎหมายตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 100 และฎีกาในข้อที่ว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิหรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นปรับข้อกฎหมายดังกล่าวคลาดเคลื่อนกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏอยู่ในสำนวน จึงเป็นการวินิจฉัยโดยมิชอบอันเป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายเช่นกัน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้พิจารณาพิพากษาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 53 แผ่นที่ 2)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ ให้ลงโทษปรับ 601,614.80 บาทจำเลยรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้หนึ่งในสี่ คงเหลือโทษปรับ 451,211.10 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทน 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ริบของกลางกับจ่ายเงินสินบนแก่ผู้นำจับ และจ่ายเงินรางวัลแก่ผู้จับ คำขออื่นให้ยก
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 52แผ่นที่ 2)
จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 53 แผ่นที่ 2)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาจำเลยโดยแท้จริงแล้วเป็นเรื่องที่จำเลยโต้แย้งจะให้รับฟังข้อเท็จจริงตามที่จำเลยนำสืบว่า ของกลางตามฟ้องเป็นสินค้าที่มีการนำเข้าและเสียภาษีโดยถูกต้องแล้ว จึงเป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้วยกคำร้อง