แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาคำสั่ง ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ไม่รับฎีกา
จำเลยทั้งเจ็ดเห็นว่า คดีนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจที่จะสั่งได้เอง ศาลชั้นต้นควรส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้สั่ง และคำสั่งของศาลอุทธรณ์ในเรื่องการไต่สวนคำร้องขอรับมรดกความนั้น เป็นคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 21 จึงมิได้ตัดสิทธิจำเลยที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ตามมาตรา 188(1) ข. โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ที่ 1 และทนายโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว(อันดับ 17,15) กรณีสืบเนื่องจากโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งเจ็ดต่างอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 4 ยื่นคำร้องว่าโจทก์ที่ 2 ถึงแก่กรรมโจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 4 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกมีความประสงค์ขอเข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 เพื่อดำเนินการต่อไป ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งว่าอนุญาตให้โจทก์ที่ 1 และโจทก์ที่ 4 เข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง
จำเลยทั้งเจ็ดฎีกาคำสั่ง โดยขอให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้องขอรับมรดกความก่อนแล้วส่งให้ศาลอุทธรณ์ดำเนินการสั่งใหม่ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 3)จำเลยทั้งเจ็ดจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 10)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ด ลงวันที่ 17 มกราคม 2533เป็นฎีกาคำสั่งของศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2532 ที่อนุญาตให้โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4 เข้าเป็นคู่ความแทนที่โจทก์ที่ 2 ผู้มรณะได้ตามคำร้อง เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(1) ประกอบมาตรา 247ห้ามมิให้คู่ความฎีกาคำสั่งดังกล่าวในระหว่างพิจารณา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งเจ็ดชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง