แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า สำหรับฎีกาข้อ 2.2 เป็นการโต้เถียงบิดเบือนข้อเท็จจริงอันจะนำไปสู่ ข้อกฎหมายเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ 2.3และข้อ 2.4 เป็นการโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเช่นกัน จึงต้องห้ามฎีกา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218ไม่รับฎีกาจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 เห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ 1 เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายทั้งสิ้น โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณาพิพากษาต่อไป
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 278)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 240 พระราชบัญญัติจราจรทางบกพ.ศ. 2522 มาตรา 43,157 ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 250 จำคุก 1 เดือน ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 175)
จำเลยที่ 1 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 176)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว คดีนี้เป็นคดีอาญาที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ไม่เกินห้าปี จำเลยที่ 1ฎีกาข้อ 2.1 ว่า เหตุที่รถยนต์ทั้งสองคันเกิดเหตุชนกัน เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย ไม่ใช่เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ 1ซึ่งมีความหมายว่าจำเลยที่ 1 มิได้กระทำประมาท จึงเป็นปัญหา ข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาข้อ 2.2 และ 2.3 เป็นการฎีกาโต้เถียง ดุลพินิจการรับฟังพยานหลักฐานของศาล จึงเป็นฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริงเช่นกัน ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา ความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ให้ยกคำร้อง