คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2535

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมตุ ลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มี อำนาจฟ้องนั้นวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 จึงถือว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.พ.มาตรา 249 แม้เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อศาลฎีกาไม่เห็นสมควร จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามป.วิ.พ. มาตรา 142(5) คณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งสอบสวนเสร็จส่งเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจารณา และผู้ว่าราชการจังหวัดได้ส่งเรื่องให้อธิบดีของโจทก์ดำเนินคดี ถือว่าโจทก์ได้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดในวันที่อธิบดีของโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าว โจทก์ฟ้องคดี ภายใน 1 ปี คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ หรือคำสั่งโดยปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาใบเสร็จรับเงินสมุดทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินเพียงคนเดียว จำเลยที่ 2 จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวมาเป็นเวลานานก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมารับราชการที่สำนักงานนั้น ถือเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติหาได้ไม่ และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น จำเลยที่ 2 จะปัดความรับผิดไม่ได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์มีอำนาจหน้าที่เก็บเงินค่าธรรมเนียมค่าภาษีรถประจำปี สำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีเป็นหน่วยงานของโจทก์ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 1 มีหน้าที่เก็บรักษาใบเสร็จรับเงินค่าภาษีรถ รับเงินค่าภาษีรถ ลงบัญชีเงินสดให้ถูกต้อง และเป็นกรรมการรับและนำส่งเงิน จำเลยที่ 2 รับราชการในตำแหน่งเจ้าหน้าที่ขนส่ง 4เป็นหัวหน้างานการเงิน บัญชีและธุรการสารบรรณ มีหน้าที่รับผิดชอบการปฏิบัติราชการในงานนี้ โดยกำกับ ควบคุมตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของจำเลยที่ 1 และมีหน้าที่เก็บรักษา ควบคุมการใช้การออกใบเสร็จรับเงิน การรับเงินค่าภาษีรถ การลงบัญชี และเป็นกรรมการเก็บรักษาเงิน ทั้งมีหน้าที่จัดทำทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงิน รวมทั้งมีหน้าที่ตรวจสอบการเงินการบัญชีของสำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานี จำเลยที่ 3 รับราชการในตำแหน่งขนส่งจังหวัดอุบลราชธานี เป็นผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 มีหน้าที่ตรวจสอบการเงินการบัญชีเป็นครั้งคราวและตรวจตราดูแลข้าราชการและพนักงานในสังกัดให้ปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องตรงต่อความจริง จำเลยที่ 1 นำเอาใบเสร็จรับเงินค่าภาษีรถที่ยังมิได้จ่ายออกใช้ออกมาใช้รับเงินค่าภาษีรถรวม 39 ฉบับ เป็นเงินทั้งสิ้น 95,572 บาท แล้วจำเลยที่ 1ยักยอกเอาเงินดังกล่าวไปใช้ใช้ส่วนตัว ทำให้โจทก์เสียหาย เหตุที่จำเลยที่ 1 กระทำดังกล่าวได้ เนื่องจากจำเลยที่ 2 ที่ 3ประมาทเลินเล่อ คือไม่ควบคุมดูแลเก็บรักษาใบเสร็จรับเงิน ไม่ตรวจสอบการใช้ไม่จัดทำทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินตามระเบียบ ปล่อยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาใบเสร็จรับเงินทั้งหมดที่รับมาจากโจทก์แต่ผู้เดียว เป็นเหตุให้จำเลยที่ 1 มีโอกาสลักเอาใบเสร็จรับเงินที่ยังมิได้จ่ายออกใช้นำออกมาใช้ได้ จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันใช้เงินจำนวน 95,572 บาท แก่โจทก์ ต่อมานายเฉลิม อุทธสิงห์ และนายอานนท์กรรณสูต เจ้าหน้าที่สำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีได้ร่วมกันใช้เงินคืนโจทก์แล้วจำนวน 8,636 บาท จึงเหลือเงินที่จำเลยทั้งสามต้องรับผิดอยู่อีก 86,936 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้เงินดังกล่าว พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้มีหน้าที่เก็บรักษาควบคุมการใช้การออกใบเสร็จรับเงิน ขณะจำเลยที่ 2 เข้ามารับหน้าที่หัวหน้างานการเงินมีการจัดทำเบียนคุมใบเสร็จรับเงินแล้ว และยังคงใช้ทะเบียนนั้นมาจนเกิดเหตุ เหตุคดีนี้เกิดขึ้นจากการทุจริตของจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 ถือโอกาสมาปฏิบัติงานในวันหยุด หรือนอกเวลาทำการ ใช้กุญแจปลอมที่ทำขึ้นเปิดเอาใบเสร็จรับเงินที่ยังไม่ถึงลำดับที่จะนำมาใช้มาใช้ร่วมกับใบเสร็จรับเงินในลำดับที่จะต้องใช้ประจำวันออกเป็นหลักฐานการรับเงินภาษีรถแล้วไม่นำเงินจำนวนนั้นมาส่งหรือลงบัญชีให้จำเลยที่ 2 ตรวจสอบในแต่ละวัน คงส่งเฉพาะเงินและใบเสร็จที่รับจากใบเสร็จรับเงินในลำดับที่ใช้ประจำวันให้จำเลยที่ 2ตรวจสอบ หลักฐานตัวเงินและหลักฐานทางบัญชีจึงถูกต้องตรงกันทุกวันจำเลยที่ 2 มิได้ประมาทเลินเล่อ จึงไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1โจทก์ได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเป็นตัวแทนโจทก์มีอำนาจควบคุมดูแลหน่วยงานของโจทก์ปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของโจทก์ ทั้งมีอำนาจดำเนินคดีฟ้องร้องผู้กระทำผิดทางอาญาหรือตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดทางแพ่งได้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีได้ตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดทางแพ่ง คณะกรรมการสอบสวนแล้วมีความเห็นว่า จำเลยที่ 2ต้องร่วมรับผิดด้วย จึงเสนอผลการสอบสวนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีทราบว่า เห็นควรให้ผู้รับผิดทางแพ่งชดใช้ หรือทำหนังสือรับสภาพหนี้ภายใน 30 วัน และผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีเห็นชอบสั่งให้ดำเนินการตามเสนอเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2526อายุความละเมิดจึงนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2526 อันเป็นวันที่ตัวแทนโจทก์รู้เหตุแห่งละเมิด และรู้ตัวผู้ต้องรับผิดแห่งละเมิดโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปีแล้ว จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 3ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 เพราะได้มอบหมายให้จำเลยที่ 2รับผิดชอบในการปฏิบัติงานในหน้าที่ของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับเก็บรักษาใบเสร็จรับเงินค่าภาษีรถ รับเงินค่าภาษีรถลงบัญชีเงินสดให้ถูกต้อง และเป็นกรรมการรับเงินนำส่งเงิน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 86,936บาท พร้อมดอกเบี้ย ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง… เห็นว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกปัญหานี้ขึ้นต่อสู้เป็นประเด็นในคำให้การไว้ตั้งแต่ศาลชั้นต้น ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องนั้นวินิจฉัยตามข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 3 จึงถือว่าจำเลยที่ 2 มิได้ยกประเด็นเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 แม้ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แต่สำหรับคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นไม่สมควรที่จะยกขึ้นวินิจฉัยให้ จึงไม่ยกขึ้นวินิจฉัยตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5)
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความเพราะการฟ้องคดีนี้ต้องถือระเบียบการเก็บรักษาเงิน และการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการพ.ศ. 2520 ข้อ 73 และมติคณะรัฐมนตรีตามหนังสือ นว.155/2503ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2503 ระเบียบดังกล่าวกำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่ง คณะกรรมการต้องเสนอผลการสอบสวนระบุตัวผู้รับผิดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบ เพื่อเรียกให้ผู้รับผิดชดใช้เงิน หากผู้ต้องรับผิดไม่ชดใช้ก็ให้ส่งเรื่องแก่พนักงานอัยการดำเนินคดีได้ทันทีไม่ต้องส่งให้กระทรวงหรือกรมเจ้าสังกัดสั่งการ เพราะจังหวัดอยู่ในฐานะเดียวกับกระทรวงหรือกรมเจ้าสังกัด คดีนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีได้ทราวตัวผู้ต้องรับผิดในส่วนแพ่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2526 โจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน2527 เกิน 1 ปีแล้ว จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่าระเบียบต่าง ๆที่จำเลยที่ 2 อ้างขึ้นเป็นเรื่องการตั้งกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งเท่านั้นส่วนผู้ที่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นเรื่องที่กำหนดไว้ในกฎหมายซึ่งเป็นผู้เสียหายเท่านั้นที่จะฟ้องได้ ระเบียบดังกล่าวมิได้กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นโจทก์ฟ้องคดีนี้ได้ดังที่จำเลยที่ 2 อ้าง เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าคณะกรรมการสอบสวนเพื่อหาตัวผู้รับผิดในทางแพ่งสอบสวนเสร็จให้ส่งเรื่องให้ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีพิจารณาและผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานีได้ส่งเรื่องให้อธิบดีของโจทก์ดำเนินคดีแก่ผู้ต้องรับผิดในทางแพ่ง ซึ่งมีจำเลยที่ 2 รวมอยู่ด้วย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน2526 และอธิบดีของโจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวเมื่อวันที่ 29มิถุนายน 2526 ถือว่าโจทก์ได้ทราบตัวผู้ต้องรับผิดในวันดังกล่าวโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2527 ยังไม่พ้น 1 ปี นับแต่วันรู้ตัวผู้จะพึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทน ฟ้องโจทก์ยังไม่ขาดอายุความตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคแรก
ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ประมาทเลินเล่อเพราะจำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาใบเสร็จรับเงินและสมุดทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินมาตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุซึ่งถือเป็นธรรมเนียม ปฏิบัติกันต่อมาทั้งคำสั่งของจำเลยที่ 3 ที่แต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้างานการเงินไม่ได้มอบหมายให้มีหน้าที่เก็บรักษาใบเสร็จรับเงิน จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดนั้น เห็นว่า ตามคำสั่งที่ 30/2524 ข้อ 5เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 1 ขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีได้ตั้งจำเลยที่ 2เป็นหัวหน้างานรับผิดชอบการปฏิบัติราชการ กำกับควบคุมงานการเงินบัญชีและธุรการสารบรรณทั้งหมดให้เป็นไปตามกฎหมาย ระเบียบข้อบังคับหรือคำสั่งของผู้บังคับบัญชี ซึ่งมีความหมายอยู่ในตัวว่าจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดชอบงานดังกล่าวทั้งหมด จะอ้างว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 มีหน้าที่เก็บรักษาใบเสร็จรับเงินทั้งหมดหาได้ไม่ จำเลยที่ 2 ไม่ได้ปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับหรือคำสั่งโดยปล่อยปละละเลยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บรักษาใบเสร็จรับเงิน สมุดทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงินเพียงคนเดียว จำเลยที่ 2จะอ้างว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติงานในลักษณะดังกล่าวมาเป็นเวลานานก่อนที่จำเลยที่ 2 จะมารับราชการที่สำนักงานขนส่งจังหวัดอุบลราชธานีถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติหาได้ไม่ และเมื่อเกิดความเสียหายขึ้นจำเลยที่ 2 จะปัดความรับผิดไม่ได้ และที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าจำเลยที่ 2 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมาย ได้ตรวจสอบเงินและใบเสร็จรับเงินตรงในลำดับที่ใช้ประจำวันทุกวัน ปรากฏหลักฐานจำนวนเงินและหลักฐานทางบัญชีตรงกัน การที่จำเลยที่ 1 ทุจริตครั้งนี้เป็นเรื่องพ้นวิสัยที่จำเลยที่ 2 จะพึงระมัดระวังได้นั้น เห็นว่าจำเลยที่ 2 ไม่ปฏิบัติตามระเบียบการเก็บรักษาเงินและการนำเงินส่งคลังของส่วนราชการ พ.ศ. 2520 ข้อ 8 ตามเอกสารหมาย จ.6(แผ่นที่ 68) ซึ่งข้อ 8 มีข้อความระบุว่า ให้ส่วนราชการจัดทำทะเบียนคุมใบเสร็จรับเงิน… ได้จ่ายใบเสร็จรับเงินเล่มใด หมายเลขใดถึงหมายเลขใดให้… หรือเจ้าหน้าที่ผู้ใด… เมื่อวัน เดือน ปีใดในเรื่องนี้โจทก์ได้นำสืบแล้วว่าจำเลยที่ 2 ได้รับคำสั่งให้เป็นหัวหน้างานการเงิน บัญชี และธุรการสารบรรณทั้งหมดและจำเลยที่ 2เป็นผู้รับมอบพัสดุต่าง ๆ จากคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ที่ส่งโดยทาง ร.ส.พ. ตามคำสั่งที่ 46/2524 เอกสารหมาย จ.6 แผ่นที่ 15และเอกสารดังกล่าวแผ่นที่ 16 มีรายการพัสดุต่าง ๆ ที่คณะกรรมการตรวจรับคือลำดับที่ 9 เป็นใบเสร็จรับเงินค่าธรรมเนียม 200 เล่มลำดับที่ 10 เป็นใบเสร็จรับเงินค่าภาษี 200 เล่มรวมอยู่ด้วยซึ่งจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ดูแลเก็บรักษาไว้แต่จำเลยที่ 2 กลับละเว้นปล่อยให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้เก็บไว้ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้จำเลยที่ 1 ทุจริตนำใบเสร็จรับเงินเล่มที่ยังไม่ถึงกำหนดนำออกใช้เอาออกมาใช้รับเงินค่าภาษีรถและไม่ลงบัญชีไม่นำส่งเงินตามระเบียบได้เบียดบังเอาไปเป็นประโยชน์ส่วนตัว จึงเป็นความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 2 โดยตรงไม่ใช้เหตุพ้นวิสัยดังที่จำเลยที่ 2 อ้างที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2ฟังไม่ขึ้น…”
พิพากษายืน.

Share