แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำนวนทุนทรัพย์ ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท ต้องห้ามฎีกา ในข้อเท็จจริง จึงไม่รับฎีกา
โจทก์เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีที่พิพาทกันด้วยเรื่องคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายไม่ใช่กรณีคดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ดังจะเห็นได้จาก การเสียค่าขึ้นศาลในชั้นคำขอรับชำระหนี้ก็ได้มีบัญญัติไว้เป็น พิเศษแล้ว ตามมาตรา 179 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 พระราชบัญญัติล้มละลาย (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2511มาตรา 11 ซึ่งตามบทบัญญัติดังกล่าว ผู้ขอรับชำระหนี้ต้องเสียค่าขึ้นศาล ชั้นอุทธรณ์ ฎีกา ในอัตราเพียงศาลละ 200 บาท คดีของโจทก์จึง ไม่ต้องห้ามฎีกา โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์ไว้พิจารณา ต่อไปด้วย
หมายเหตุ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยังไม่ได้รับสำเนาคำร้อง
กรณีเป็นชั้นขอรับชำระหนี้
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้(จำเลยทั้งสอง) ไว้เด็ดขาด โจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า ควรให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลยทั้งสอง) จำนวน590,531.61 บาท ตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 ส่วนที่เกินมาให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว อนุญาตให้โจทก์ผู้ขอรับชำระหนี้ได้รับชำระหนี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เนื่องจากเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้าม
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 17)
โจทก์จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 18)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว ที่เจ้าหนี้ฎีกาว่าคดีนี้ไม่ต้องห้ามฎีกาเพราะพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 179 กำหนดให้คิด ค่าขึ้นศาลสำหรับคำขอรับชำระหนี้ไว้ต่างหากเป็นพิเศษ จึงฎีกา ได้โดยไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 นั้น เห็นว่าการอุทธรณ์ ฎีกาคำขอรับชำระหนี้ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224,248 ประกอบด้วยพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 153 แต่คดีนี้เป็นคดีที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของเจ้าหนี้ เพราะเห็นว่าเป็นอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เจ้าหนี้จึงฎีกาคัดค้านได้ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248จึงให้รับฎีกาของเจ้าหนี้