แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกาฉบับลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2536ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 218 ฎีกาฉบับนี้ เป็นฎีกาดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงจึงต้องห้าม ไม่รับเป็นฎีกาของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาที่ว่าคำเบิกความของประจักษ์พยาน โจทก์แตกต่างกันในสาระสำคัญ และขัดกับเหตุผล จึงเป็นพยาน หลักฐานที่มีเหตุอันควรสงสัยเป็นอย่างยิ่งและควรยกประโยชน์ แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยทั้งสอง แต่ศาลอุทธรณ์กลับรับฟัง พยานหลักฐานดังกล่าว จึงเป็นการรับฟังพยานโดยไม่ชอบด้วย กฎหมาย เป็นปัญหาข้อกฎหมายโปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลย ทั้งสองไว้พิจารณาต่อไปด้วย
หมายเหตุ โจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้ว (อันดับ 75)
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 วรรคสอง,83 ให้ลงโทษจำคุกคนละ 2 ปี
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสอง คนละ 1 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยทั้งสองฎีกาฉบับลงวันที่ 3 พฤษภาคม 2536ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับดังกล่าว (อันดับ 75)
จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 75)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์แตกต่างกันในสาระสำคัญ ขัดต่อเหตุผลและ ความเป็นจริง จึงน่าจะถือว่าพยานโจทก์มีความสงสัยตามสมควร ควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง และหาก ฟังว่าจำเลยทั้งสองกระทำความผิดก็ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอ การลงโทษจำเลยทั้งสองด้วยนั้น เห็นว่า การที่ศาลจะมีความสงสัย ตามสมควรหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยข้อเท็จจริงในสำนวน และการที่ศาลจะลงโทษจำเลยสถานเบาและรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เป็นดุลพินิจของศาล ฎีกาของจำเลยทั้งสองในทั้งสองกรณีจึงเป็น ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก ศาลชั้นต้น ไม่รับฎีกาของจำเลยทั้งสองชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง