คำสั่งคำร้องที่ 2105/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 34,150 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี และชำระค่าเสียหายเดือนละ 6,650 บาท จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง คดีจึงต้องห้ามฎีกา ในปัญหาข้อเท็จจริงรับเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายคือ เฉพาะฎีกาข้อ 2.1 และข้อ 2.3 เท่านั้น ข้ออื่นไม่รับ จำเลยทั้งสองเห็นว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อ 2.2ประเด็นเรื่องโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย และคดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากอสังหาริมทรัพย์และเรียกค่าเช่าโดยอ้างว่าอาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้องในอัตราเดือนละ 20,000 บาท คดีจึงไม่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาข้อ 2.2 และข้อ 2.4 ของจำเลยทั้งสองไว้พิจารณาต่อไป หมายเหตุ โจทก์แถลงคัดค้าน (อันดับ 67) ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากตึกแถวสองชั้นครึ่ง เลขที่ 4/4 ถนนสุขุมวิทตำบลบางจาก อำเภอพระโขนง กรุงเทพมหานคร ของโจทก์ให้จำเลยทั้งสองใช้เงิน 73,150 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากตึกแถวดังกล่าวและส่งมอบตึกแถวคืนโจทก์ กับให้จำเลยทั้งสอง ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 6,650 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่า จำเลยทั้งสองได้ขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปจาก ตึกแถวดังกล่าวและส่งมอบตึกแถวคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 34,150 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 6,650 บาท นับถัดจากวันฟ้อง จนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบตึกแถวพิพาทคืนโจทก์ นอกจากที่แก้ คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาบางข้อดังกล่าว (อันดับ 56) จำเลยทั้งสองจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 63)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ตามสัญญาเช่าเอกสารหมาย จ.6ที่จำเลยทั้งสองตกลงเช่าตึกแถวพิพาทจากนายจเร องค์ธนาวัฒน์ เจ้าของเดิม กำหนดอัตราค่าเช่าไว้เดือนละ 150 บาท และศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยทั้งสองใช้แก่โจทก์ เดือนละ 6,650 บาท คดีนี้จึงเป็นคดีฟ้องขับไล่ออกจาก อสังหาริมทรัพย์อันมีค่าเช่าหรืออาจให้เช่าได้ในขณะยื่นคำฟ้อง ไม่เกินเดือนละ 10,000 บาท และจำนวนทุนทรัพย์ที่เรียกร้อง ในชั้นฎีกาไม่เกิน 200,000 บาท จึงต้องห้ามมิให้ฎีกา ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง ที่จำเลยทั้งสองฎีกา ในข้อ 2.2 ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้น เห็นว่าการจะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย ดังกล่าว ต้องอาศัยข้อเท็จจริงจากการนำสืบของคู่ความ มาวินิจฉัย ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้เป็นการโต้เถียง ข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยข้อกฎหมาย เป็นฎีกา ในข้อเท็จจริง ส่วนฎีกาในข้อ 2.4 เป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจ ในการกำหนดค่าเสียหาย เป็นฎีกาในข้อเท็จจริงเช่นกัน ฎีกาของจำเลยทั้งสองดังกล่าวจึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม บทกฎหมายดังกล่าว ศาลชั้นต้นไม่รับฎีกาในข้อ 2.2 และ ข้อ 2.4 ชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง

Share