คำสั่งคำร้องที่ 1197/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ฎีกาของจำเลยเป็นฎีกาข้อเท็จจริง และผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีไม่ได้รับรองว่ามีเหตุอันควรฎีกาข้อเท็จจริงได้ ประกอบกับคดีนี้มีทุนทรัพย์พิพาทไม่เกินสองแสนบาท ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคแรก จึงไม่รับ ฎีกาของจำเลย คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกา จำเลยเห็นว่า ฎีกาของจำเลยที่ว่า โจทก์ได้ครอบครอง ปรปักษ์ที่ดินส่วนที่เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยจนได้กรรมสิทธิ์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 หรือไม่ เป็นฎีกา ในปัญหาข้อกฎหมาย และฎีกาที่ว่า พยานบุคคลจะนำมาหักล้าง พยานเอกสารคือโฉนดที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 หรือ ล.3 ได้หรือไม่ เป็นฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบ เรียบร้อยของประชาชน โปรดมีคำสั่งให้รับฎีกาของจำเลยไว้ พิจารณาต่อไป หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้อง แล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไปดำเนินการแบ่งแยกที่ดินโฉนด เลขที่ 6903 ตำบลดอนตาล อำเภอเมืองสุพรรณบุรีจังหวัดสุพรรณบุรี โดยทางด้านทิศตะวันตกของถนนสาธารณะประโยชน์ ทั้งหมดเป็นของโจทก์ ส่วนของจำเลยอยู่ทางด้านทิศตะวันออก ของถนนสาธารณะประโยชน์ ถ้าจำเลยไม่ไปดำเนินการก็ให้ถือเอา คำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ส่วนฟ้องแย้ง ของจำเลยให้ยกเสีย ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว(อันดับ 119) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 121)

คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่า โจทก์และจำเลยต่างครอบครองที่ดินพิพาทเป็นสัดส่วน โดยมีถนนสาธารณะเป็นแนวเขตแบ่งกั้น โจทก์ครอบครองมากกว่า 10 ปี แล้วจึงได้ กรรมสิทธิ์ในส่วนที่ครอบครอง จำเลยฎีกาว่า โจทก์ครอบครอง ไม่ถึง 10 ปีและในโฉนดที่ดินไม่ปรากฏว่ามีทางสาธารณประโยชน์ จึงเป็นการนำสืบเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่น่ารับฟัง เห็นว่าฎีกา ของจำเลยเป็นฎีกาโต้เถียงดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งให้ยกคำร้อง

Share