แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ต้องห้าม ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ฎีกาของจำเลยเป็นปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น จึงไม่รับ จำเลยเห็นว่า ฎีกาที่ว่า การที่ศาลอุทธรณ์รับฟังข้อเท็จจริงนอกเหนือจากพยานหลักฐานในสำนวน การที่ศาลรับฟัง คำเบิกความของนายสมพรอยู่เป็นสุขนายวีรศักดิ์ นิลเพชร์พลอย และระวางรูปถ่ายทางอากาศหมาย จ.19 ซึ่งเป็น พยานบอกเล่า เป็นหลักฐานเพื่อลงโทษจำเลย จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นปัญหา ข้อกฎหมาย โปรดมีคำสั่งรับฎีกาของจำเลยด้วย หมายเหตุ ไม่ปรากฏหลักฐานว่าโจทก์ได้รับสำเนาคำร้องแล้วหรือไม่ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 วรรคแรก ให้จำคุก 1 ปี และปรับ 2,000 บาท จำเลย เป็นหญิงชราและไม่ปรากฏว่าเคยกระทำผิดมาก่อน โทษจำคุกจึง ให้รอไว้ 2 ปี หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาดังกล่าว (อันดับ 203) จำเลยจึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 204)
คำสั่ง พิเคราะห์แล้ว ฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่า พยานโจทก์รับฟังไม่ได้เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่า ระวางรูปถ่ายทางอากาศหมาย จ.19 เป็นเพียงพยานบอกเล่า โจทก์มิได้นำสืบว่ามีการทำขึ้นจริงหรือเป็น ต้นฉบับ การที่ศาล อาศัยระวางรูปถ่ายทางอากาศเป็นพยานหลักฐานเพื่อประกอบ การลงโทษจำเลยเป็นการไม่ชอบนั้น ก็เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ที่เลี่ยงกล่าวให้เป็นปัญหาข้อกฎหมาย ดังนั้นฎีกาของจำเลย จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ต้องห้ามตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นสั่งไม่รับฎีกาของจำเลยชอบแล้ว ให้ยกคำร้อง