คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4834/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่าสามีจำเลยขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ และได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์แล้วผิดสัญญาหรือไม่ และโจทก์เสียหายเพียงใด เมื่อได้กำหนดประเด็นไว้ดังกล่าวแล้วศาลจึงต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ในกระบวนพิจารณาชั้นชี้สองสถาน และต้องไม่พิจารณาชี้ขาดตัดสินนอกฟ้องนอกประเด็นเมื่อศาลชั้นต้นฟังว่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีการซื้อขายและเช่าซื้อรถคันพิพาทและชำระราคากันจริงแล้ว ผลก็เท่ากับว่าไม่เชื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ต้องพิพากษายกฟ้องทั้งจำเลยก็มิได้ต่อสู้เลยว่าการซื้อขายและเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้เงิน ศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาว่าเป็นนิติกรรมอำพรางไม่ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นที่กำหนดไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย นายสมศักดิ์ ราวิชัย ผู้ตายและเป็นผู้จัดการมรดกของนายสมศักดิ์ผู้ตายตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 1482/2537ของศาลชั้นต้น เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2535 นายสมศักดิ์ผู้ตายได้นำรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า หมายเลขทะเบียน ป – 6931 เชียงราย มาขายให้โจทก์ในราคา 200,000บาท โจทก์ชำระราคาให้ครบถ้วนแล้ว ต่อมาในวันเดียวกันนั้นเอง นายสมศักดิ์ผู้ตายก็ได้ขอเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวไปจากโจทก์ในราคา 180,000 บาท ชำระวันทำสัญญา130,000 บาท ส่วนที่เหลืออีก 50,000 บาท กำหนดชำระวันที่ 19 ธันวาคม 2535 หากผิดนัดงวดหนึ่งหรือผิดสัญญาอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดีถือว่าสัญญาเป็นอันเลิกกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว เมื่อถึงกำหนดนายสมศักดิ์ผู้ตายไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์ โจทก์ทวงถามจำเลยในฐานะทายาทแล้วแต่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 57,187.50 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะส่งมอบรถคืน หรือใช้ราคาแทนแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายสมศักดิ์ผู้ตายซึ่งเป็นสามีจำเลยรถยนต์คันพิพาทเป็นของสามีจำเลย สามีจำเลย ไม่เคยขายให้โจทก์ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้สามีจำเลยและจำเลยชำระค่าเช่าซื้อ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยในฐานะทายาทโดยธรรม และผู้จัดการมรดกของนายสมศักดิ์ ราวิชัย ผู้ตาย ชำระเงินจำนวน 50,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2535 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ให้จำเลยรับผิดไม่เกินกว่าทรัพย์มรดกที่ตกได้แก่ตน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาทต้องห้ามมิให้ฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248วรรคหนึ่ง โจทก์ฎีกาปัญหาข้อกฎหมายว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษานอกฟ้องนอกประเด็นหรือไม่ และหยิบยกเรื่องนิติกรรมอำพรางขึ้นวินิจฉัยชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้มีการชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้ว่า (1) นายสมศักดิ์สามีจำเลยขายรถยนต์คันพิพาทให้แก่โจทก์ และได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันดังกล่าวจากโจทก์แล้วผิดสัญญาหรือไม่ และ (2) โจทก์เสียหายเพียงใด เมื่อได้กำหนดประเด็นไว้ดังกล่าวแล้ว ศาลจึงต้องพิจารณาและชี้ขาดตัดสินคดีไปตามประเด็นข้อพิพาทที่กำหนดไว้ในกระบวนพิจารณาชั้นชี้สองสถาน และต้องไม่พิจารณาชี้ขาดตัดสินนอกฟ้องนอกประเด็น เมื่อปรากฏว่าศาลชั้นต้นฟังว่าไม่น่าเชื่อว่าจะมีการซื้อขายและเช่าซื้อรถคันพิพาท และชำระราคากันจริงแล้ว ผลก็เท่ากับว่าไม่เชื่อพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมา ต้องพิพากษาให้ยกฟ้องทั้งจำเลยก็มิได้ต่อสู้เลยว่าการซื้อขายและเช่าซื้อเป็นนิติกรรมอำพรางการกู้เงินศาลจะหยิบยกขึ้นพิจารณาว่า เป็นนิติกรรมอำพรางไม่ได้ เพราะเป็นการวินิจฉัยคดีนอกประเด็นที่กำหนดไว้ ย่อมเป็นการไม่ชอบ

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share