แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ที่ 1 ถึง ที่ 4 และจำเลยที่ 1 ต่าง ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงว่าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินแปลงใหญ่ และได้ มาจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากกันเป็นคนละ 1 แปลง แต่ ยังไม่ได้จดภารจำยอมทางเดินเข้าออกเนื่องจากยังไม่มีโฉนด ทุกคนทราบว่าทางเดินกว้าง 6 เมตร และจะมาจดภารจำยอมเรื่องทางเดินผ่านเมื่อได้รับโฉนด ที่แบ่งแยกใหม่แล้ว ดังนี้ เมื่อทุกคนต่าง ได้รับโฉนด ที่แบ่งแยกใหม่แล้ว จึงมีหน้าที่ต้อง ปฏิบัติตาม ข้อตกลง แม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะขายที่ดินแปลงของตน ให้โจทก์ที่ 5 และที่ 6และโจทก์ที่ 4 จะยกที่ดินแปลงของตน ให้โจทก์ที่ 7 ซึ่ง เป็นเจ้าของที่แท้จริงไปแล้วก่อนฟ้อง โจทก์ทั้งเจ็ดโดย อาศัยสิทธิซึ่งกันและกันก็มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ให้ปฏิบัติตาม ข้อตกลงได้ การที่จำเลยที่ 1 ยกที่ดินแปลงของตน ให้แก่จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4ซึ่ง เป็นบุตรของตน และอาศัยอยู่กับตน โดยเสน่หา ทั้งจำเลยที่ 2ถึง ที่ 4 ได้ ทราบว่า จำเลยที่ 1 ต้อง จดทะเบียนทางภารจำยอมมาตั้งแต่ แรก โดย ไม่ปรากฏว่ามีเหตุจำเป็นที่ต้อง รีบโอนให้จำเลยที่ 2ถึง ที่ 4 ก่อนจดทะเบียนภารจำยอมเป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่า ทั้งผู้ยกให้และผู้รับยกให้ต่าง ทราบดี ว่าเป็นทางให้โจทก์เจ้าของที่ดินแปลงข้างในเสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยกให้ได้ โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการให้เพื่อให้ได้ มาซึ่ง ทางภารจำยอมเท่านั้น มิใช่ให้โอนที่ดินพิพาทมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ การบังคับให้เพิกถอนการให้จึงไม่จำเป็นแก่การบังคับเพื่อประโยชน์ของโจทก์ทั้งโจทก์ก็มีคำขอให้จำเลยที่ 1 ผู้ยกให้หรือจำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4ผู้รับการยกให้ที่ดินพิพาทไปจดทะเบียนภารจำยอมมาด้วย ศาลจึงพิพากษาให้เฉพาะ จำเลยที่ 2 ถึง ที่ 4 ไปจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินของตน ได้ โดย ไม่จำต้องเพิกถอนการให้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 และจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงใหญ่ร่วมกัน ต่อมาแบ่งแยกกรรมสิทธิ์กันโดยจำเลยที่ 1 ได้แปลงที่ 1 โจทก์ที่ 1ถึงที่ 4 ได้ที่ดินแปลงที่ 3 ถึงที่ 5 ตามลำดับ ที่ดินแปลงที่ 1 ทิศทางสาธารณะที่ดินแปลงอื่นไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ก่อนแบ่งแยกเจ้าของรวมได้ตกลงกันให้จดทะเบียนทางภารจำยอมกว้าง 6 เมตร ผ่านออกทางสาธารณะได้ทุกแปลงตามแนวเส้นสีเขียวในเอกสารท้ายฟ้อง และกำหนดไปจดทะเบียนเมื่อได้รับโฉนดใหม่แล้ว แต่เมื่อได้รับโฉนดใหม่ที่แบ่งแยกออกจากที่ดินแปลงเดิมแล้ว โจทก์ที่ 1 โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์ที่ 5 โจทก์ที่ 2 โอนให้โจทก์ที่ 6 ส่วนโจทก์ที่ 4 โอนให้โจทก์ที่ 7 โดยผู้รับโอนทุกคนยอมผูกพันตามข้อตกลงดังกล่าว ต่อมาโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 6 และจำเลยที่ 1 ไปจดทะเบียนภารจำยอมตามข้อตกลง แต่ไม่อาจกระทำได้เพราะจำเลยที่ 1 ได้ลงทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้แก่จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 ซึ่งเป็นบุตรโดยเสน่หาแล้ว จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4ทราบถึงข้อตกลงดังกล่าวแต่ไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงการกระทำของจำเลยทั้งสี่เป็นการไม่สุจริต ทั้งรู้อยู่แล้วว่าเป็นเหตุให้โจทก์ทุกคนเสียเปรียบเป็นการฉ้อฉล ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการยกที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 และบังคับให้จำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จดทะเบียนภารจำยอมในที่ดินพิพาทให้เป็นภารยทรัพย์แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 7 โดยกำหนดให้ทางภารจำยอมกว้าง 6 เมตรตามแผนที่ท้ายฟ้อง หากไม่ปฏิบัติตามให้จำเลยทั้งสี่ส่งมอบโฉนดที่ดินดังกล่าวต่อศาลภายใน 7 วันและให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสี่
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 โอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้แก่โจทก์ที่ 4 ที่ 6ที่ 7 ไปแล้ว และโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 7 มิใช่คู่สัญญาของจำเลยที่ 1 โจทก์ที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ถึงที่ 7 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง จำเลยที่ 1 ยกที่ดินพิพาทให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 โดยสุจริตไม่ทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอน จำเลยที่ 1 ไม่เคยตกลงให้แบ่งแยกที่ดินเป็นทางเดินกว่าง 6 เมตร ตามฟ้อง ไม่มีความจำเป็นต้องกำหนดทางเดินพิพาทกว้างถึง 6 เมตร ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จดทะเบียนภารจำยอมที่ดินพิพาทกว้าง1 เมตร จากแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ยาวตลอดแนวที่ดินให้แก่ที่ดินของโจทก์ที่ 3 หากไม่ปฏิบัติตาม ให้โจทก์ที่ 3 จดเองได้ โดยให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คำขออื่นและฟ้องของโจทก์ที่ 3 เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ให้ยกฟ้องของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 และโจทก์ที่ 4 ถึง ที่ 7
โจทก์ทั้งเจ็ดอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 เปิดทางจำเป็นกว้าง 1 เมตรตามแนวภารจำยอมให้แก่โจทก์ที่ 5 ถึงที่ 7 โดยโจทก์ที่ 5 ถึงที่ 7 ไม่ต้องเสียค่าทดแทนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ทั้งเจ็ดฏีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ได้มีการตกลงระหว่างโจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 4 และจำเลยที่ 1ให้เปิดทางเดินเป็นภารจำยอมกว้าง 6 เมตร ตามเอกสารหมาย จ.9 และจำเลยที่ 2ถึงที่ 4 ทราบถึงความตกลงดังกล่าวนี้ด้วย และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ปัญหาว่าโจทก์ทั้งเจ็ดมีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสี่ไปจดทะเบียนทางภารจำยอมให้กว้าง6 เมตร ตามฟ้องได้หรือไม่เห็นว่า โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และจำเลยที่ 1 ต่างได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงเอกสารหมาย จ.9 ซึ่งมีข้อความว่า ข้าพเจ้าผู้มีนามดังต่อไปนี้ขอให้ถ้อยคำว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินหมายเลข (ที่ถูกเป็นโฉนดที่) 249 เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร ร่วมกัน วันที่ 20 ตุลาคม 2524 ได้มาจดทะเบียนแบ่งกรรมสิทธิ์รวมออกจากกันเป็นคนละ 1 แปลง แต่ยังไม่ได้จดภารจำยอมทางเดินเข้าออก เนื่องจากยังไม่มีโฉนดต้องให้อธิบดีลงนามโฉนดใหม่ ข้าพเจ้าทุกคนทราบ ทางเดินเข้าออกรวมกว้าง 6 เมตร จึงขอทำสัญญาไว้กันเองว่า เมื่อได้รับโฉนดแบ่งแยกใหม่เสร็จ ข้าพเจ้าทุกคนจะมาจดภารจำยอมเรื่องทางเดินผ่านกันทุก ๆ แปลง ข้าพเจ้าทุกคนทราบแล้วไม่ขัดข้อง ฯลฯ แสดงว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 4 กับจำเลยที่ 1 ทุกคนต่างเป็นคู่สัญญากันว่าจะจดทะเบียนทางภารจำยอมกว้าง 6 เมตร ผ่านที่ดินของทุกคนเพื่อเป็นทางเข้าออก เมื่อได้รับโฉนดที่แบ่งแยกใหม่แล้ว ดังนี้เมื่อทุกคนต่างได้รับโฉนดที่แบ่งแยกใหม่แล้ว ต้องมีหน้าที่ปฏิบัติตามข้อตกลงไปจดทะเบียนภารจำยอมให้มีทางเดินกว้าง6 เมตร ในที่ดินของตนที่ได้รับเพื่อเป็นทางย่านเข้าออกตั้งแต่แปลงที่ 1 ถึงแปลงที่ 5 ทุกแปลงแม้โจทก์ที่ 1 และที่ 2 จะได้ขายที่แปลงของตนให้โจทก์ที่ 5 และที่ 6 และโจทก์ที่ 4 จะโอนยกที่ดินแปลงที่ 5 ให้โจทก์ที่ 7 ซึ่งเป็นเจ้าของที่แท้จริงไปแล้วก่อนฟ้องโจทก์ทั้งเจ็ดโดยอาศัยสิทธิซึ่งกันและกันก็มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามข้อตกลงตามเอกสารหมาย จ.9 ได้ แม้จำเลยที่ 1 ได้โอนยกที่ดินแปลงของตนให้แก่จำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ไปแล้วก่อนถูกฟ้อง ก็ได้ความว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 เป็นบุตรจำเลยที่ 1และยังอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 ทั้งได้ทราบถึงการที่จำเลยที่ 1 ต้องจดทะเบียนทางภารจำยอมดังกล่าวมาแต่แรก พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 โอนที่ดินแปลงที่ 1 ของตนให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 โดยเสน่หา โดยที่จำเลยที่ 4 ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ไม่ปรากฏเหตุจำเป็นที่ต้องรับโอนให้ก่อนจดทะเบียนทางภารจำยอม โดยจำเลยที่ 1 จะรอให้จดทะเบียนทางภารจำยอมให้เรียบร้อยที่อื่นจึงจดทะเบียนโอนให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4ในภายหลังก็ได้ ศาลฎีกาเชื่อว่า ทั้งจำเลยที่ 1 ผู้ยกให้และจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ผู้รับยกให้ต่างทราบดีว่าเป็นทางให้โจทก์ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 7 เจ้าของที่ดินแปลงข้างในเสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 237 โจทก์ทั้งเจ็ดจึงมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนการยกให้ดังกล่าวนี้ได้ อย่างไรก็ดีศาลฎีกาเห็นว่า การที่โจทก์ทั้งเจ็ดขอให้เพิกถอนการให้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งทางภารจำยอมเท่านั้น มิใช่เพื่อให้โอนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์การบังคับให้เพิกถอนการให้จึงไม่จำเป็นแก่การบังคับเพื่อประโยชน์ของโจทก์ ทั้งโจทก์ก็มีคำขอให้จำเลยที่ 1หรือจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไปจดทะเบียนทางภารจำยอมมาด้วย จึงเห็นสมควรให้เฉพาะจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไปจดทะเบียนทางภารจำยอมในที่ดินของตนเพื่อให้เป็นทางเข้าออกแก่ที่ดินแปลงที่อยู่ด้านในของโจทก์ที่ 3 ที่ 5 ถึงที่ 7 โดยไม่จำต้องเพิกถอนการให้ ฯลฯ
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จดทะเบียนทางภารจำยอมที่ดินโฉนดเลขที่ 59822 เลขที่ 4294 แขวงบางขุนเทียน เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานครกว้าง 6 เมตร จากแนวเขตที่ดินด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ยาวตลอดแนวที่ดิน ถ้าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยดังกล่าว ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 1