คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1431/2492

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในสัญญาขายฝากข้อ 4 มีว่าผู้ซื้อฝากยอมให้ผู้ขายฝากเช่าทรัพย์ที่ขายฝากและระบุค่าเช่าไว้ด้วยและภายหลังก็มีการเช่าต่อกันดังนี้ ถือว่าข้อความเช่นนั้นเป็นสัญญาเช่า มิใช่เป็นเพียงคำเสนอ
ผู้เช่ามีหน้าที่ชำระค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกให้แก่ผู้ให้เช่า และต้องคิดราคาในขณะที่ผู้ให้เช่าฟ้องผู้เช่า (อ้างฎีกาที่ 143/2491)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ขายฝากไว้กับโจทก์ สัญญาไถ่คืนภายในกำหนด 5 ปี ทำกันที่อำเภอและในสัญญานั้นจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่นาที่ขายฝากจากโจทก์ด้วย โดยคิดค่าเช่าเป็นข้าวเปลือกจำเลยเช่าแล้วก็ทำเรื่อยมา จำเลยค้างค่าเช่ารวมข้าว 11 เกวียนจึงขอให้ศาลบังคับ จำเลยให้การว่าได้ขายฝากนาไว้แก่โจทก์จริงแต่หาได้ทำสัญญาเช่าไม่ ในสัญญาขายฝากข้อ 4 มีความว่า “ผู้รับซื้อฝากสัญญาว่าในระหว่างเวลาผู้ขายฝากยังมีสิทธิไถ่คืนได้ข้าพเจ้าผู้รับซื้อฝากยอมให้ผู้ขายฝากเช่าที่ดินในสัญญานี้ทำนาโดยคิดค่าเช่าปีหนึ่งเป็นข้าวเปลือก 700 ถัง” ดังนี้ เป็นคำเสนอฝ่ายเดียวเมื่อไม่มีคำสนองก็หาผูกพันจำเลยไม่ และต่อสู้ว่าราคาข้าวเปลือกที่โจทก์กะ ก็สูงมาก ก่อนชี้สองสถาน ศาลอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2489 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญาเช่านาแปลงที่ฟ้องให้ไว้แก่โจทก์อีกฉบับหนึ่งมีกำหนด 1 ปี คิดค่าเช่าให้ปีหนึ่งเป็นข้าว 700 ถัง จำเลยให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ลงชื่อในสัญญาเช่านั้น ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อ 4 แห่งสัญญาขายฝากถ้อยคำสำนวนตามอักษรย่อมเป็นเพียงคำเสนอ แต่เมื่อเพ่งเล็งเจตนาอันแท้จริงจากพฤติการณ์และความจริงที่ได้ปฏิบัติต่อกันในเวลาต่อมา จะเห็นได้ชัดว่า คู่กรณีมีเจตนาจะให้เป็นสัญญาเช่าต่อกัน

ส่วนปัญหาเรื่องราคาข้าวเปลือก ซึ่งจำเลยปีหน้าที่จะต้องชำระเป็นค่าเช่าให้แก่โจทก์นั้น เห็นว่า จะต้องคิดตามราคาในขณะโจทก์ฟ้อง

พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระค่าเช่านาที่ค้าง รวมเป็นเงิน 3,850 บาท

Share