คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3809/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ว่าตามหลักฐานที่ปรากฏ เหตุที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับถูกรถยนต์คันอื่นชนท้ายแล้วเสียการทรงตัวกระเด็นไปถูกโจทก์ร่วมที่ยืนอยู่บนทางเท้าขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นยกฟ้อง อุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว เพราะถ้าข้ออ้างของจำเลยฟังขึ้นผลของคำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 300 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43(4)(8),157 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ลงโทษบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 จำคุก 1 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยว่า อุทธรณ์ของจำเลยได้กล่าวโต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า เหตุคดีนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุสุดวิสัย มิใช่เพราะความประมาทของจำเลยหรือไม่ปรากฏว่า เรื่องนี้จำเลยกล่าวในอุทธรณ์ว่า ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏเหตุที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเหตุสุดวิสัย เพราะรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับถูกรถยนต์คันอื่นชนท้ายแล้วเสียการทรงตัวกระเด็นไปถูกโจทก์ร่วมที่ยืนอยู่บนทางเท้า ขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับเป็นยกฟ้องซึ่งศาลอุทธรณ์เห็นว่าข้อความในอุทธรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นลักษณะของคำแถลงการณ์ มิใช่เป็นการโต้แย้งหรือคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้น ไม่รับวินิจฉัย พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ที่จำเลยกล่าวในอุทธรณ์ดังกล่าวเป็นการโต้แย้งหรือคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งถ้าข้ออ้างของจำเลยฟังขึ้น ผลของคำพิพากษาจะเปลี่ยนแปลงไป
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share