คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 302/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินตามเช็ค โดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปใช้ในกิจการของโรงพิมพ์ แล้วจำเลยที่ 1ออกเช็คชำระหนี้แก่โจทก์ มิได้บรรยายว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใดกับเช็คพิพาท และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าเช็คพิพาทจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือฐานะอื่นใด แสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คพิพาท จึงไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนอันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1ในมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้กู้ยืมเงิน แต่โจทก์ไม่ได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน จึงบังคับจำเลยที่ 2 ตามคำฟ้องไม่ได้ เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ต่อโจทก์ดังได้วินิจฉัยแล้ว จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะเป็นหุ้นส่วนกันหรือไม่ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันจะได้รับวินิจฉัยต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเข้าหุ้นส่วนร่วมกันประกอบกิจการโรงพิมพ์เฉลิมชาญการพิมพ์ จำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเช็คจำนวน 2 ฉบับฉบับแรกจำนวนเงิน 1,200,000 บาท ฉบับที่สองจำนวนเงิน 340,000 บาท ลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2529 ทั้งสองฉบับ เพื่อชำระหนี้เงินกู้แก่โจทก์ที่จำเลยที่ 1 กู้ยืมจากโจทก์ไปใช้ในกิจการของโรงพิมพ์เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ผู้สั่งจ่ายเช็คและจำเลยที่ 2 ผู้เป็นหุ้นส่วน ร่วมกันรับผิดชดใช้เงินตามเช็คแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยเข้าหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 ประกอบกิจการโรงพิมพ์ โรงพิมพ์เฉลิมชาญการพิมพ์เป็นของจำเลยที่ 2 เพียงผู้เดียว จำเลยที่ 2 ไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกู้ยืมเงินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1ไม่ได้กู้ยืมเงินโจทก์มาใช้ในกิจการโรงพิมพ์ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินจำนวน 1,540,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้เงินตามเช็คพิพาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยโดยกล่าวอ้างว่าจำเลยที่ 1กู้ยืมเงินโจทก์ไปใช้ในกิจการของโรงพิมพ์เฉลิมชาญการพิมพ์จำเลยที่ 1 ออกเช็คสั่งให้ธนาคารจ่ายเงินชำระหนี้ให้แก่โจทก์มิได้บรรยายถึงว่า จำเลยที่ 2 มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างใดกับเช็คพิพาททั้งปรากฏข้อเท็จจริงว่า เช็คพิพาทจำเลยที่ 2 มิได้ลงลายมือชื่อในฐานะผู้สั่งจ่ายหรือฐานะอื่นใด แสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเช็คพิพาท จึงไม่ก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะตั๋วเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 900 จำเลยที่ 2จึงไม่ต้องรับผิดแม้โจทก์จะบรรยายฟ้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 เป็นหุ้นส่วนอันเป็นการแสดงว่าจำเลยที่ 2เป็นลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในมูลหนี้เดิมซึ่งเป็นหนี้กู้ยืมเงินแต่โจทก์ก็ไม่ได้ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินจึงบังคับจำเลยที่ 2 ตามคำฟ้องไม่ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าไม่ได้เป็นหุ้นส่วนกับจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า เมื่อฟังว่าจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมกับจำเลยที่ 1 รับผิดต่อโจทก์ดังวินิจฉัยแล้วจำเลยที่ 1 ที่ 2 จะเป็นหุ้นส่วนกันหรือไม่ก็ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันจะได้รับวินิจฉัยที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share