แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ทำหนังสือขอซื้อไม้ซุงสักยื่นต่อโรงงานเลื่อยไม้ แม่กองขายของโรงงานได้บันทึกความเห็นลงไปว่าสมควรขายให้ในราคาเท่าใดแล้วเสนอผู้อำนวยการ ผู้อำนวยการบันทึกว่าอนุญาตให้ขายได้ตามที่แม่กองขายเสนอมา ดังนี้ คำสั่งของผู้อำนวยการนี้เป็นเพียงคำสั่งภายในถึงคนขายของตนให้ขายสิ่งของตามราคาที่ว่านั้นได้ หาได้มีการแสดงเจตนาถึงผู้จะซื้ออย่างไรไม่ จึงไม่ทำให้เกิดนิติสัมพันธ์ เป็นสัญญาจะซื้อขายหรือสัญญาซื้อขายขึ้นแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งไม้ให้โจทก์ครบถ้วนตามสัญญาซื้อขาย จึงขอให้ศาลบังคับให้จำเลยส่งมอบไม้สักอีก 628 ท่อน เนื้อไม้ 816.96 ลูกบาศก์เมตร ในราคาลูกบาศก์เมตรละ 37 บาท ให้แก่โจทก์ ถ้าหากส่งไม่ได้ก็ให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนที่โจทก์ต้องขาดผลกำไรไป 705,036.48 บาท และคืนเงินมัดจำ 4,262 บาท
จำเลยต่อสู้ว่าจำเลยไม่ได้ทำสัญญาขายไม้สักกับโจทก์ดังฟ้องเอกสารที่ 977/2485 ที่โจทก์อ้างไม่ใช่สัญญาซื้อขายไม้ เป็นแต่เพียงคำร้องของโจทก์มีถึงผู้อำนวยการโรงเลื่อยขอซื้อไม้ซุงสักปี 2484 ที่ทำจากป่าแม้แจ้ฟ้าที่อาจมาถึงและจอดมัดแพไว้ที่หน้าโรงเลื่อยในวันข้างหน้า คำสั่งของผู้อำนวยการโรงเลื่อยที่สั่งขายตามราคาที่เจ้าหน้าที่ทำความเห็นเสนอมา หาใช่เป็นคำสั่งสนองรับ เป็นแต่คำสั่งภายในของผู้บังคับบัญชาที่สั่งอนุญาตให้เจ้าหน้าที่ขายได้ในราคาที่เสนอมา ซึ่งตกเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องไปทำสัญญาจะซื้อขายกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายโดยตรงกำหนดจำนวนไม้กันแน่นอนที่จะทำการซื้อขายกัน กับต่อสู้อื่น ๆ อีก
ศาลชั้นต้นเห็นว่า หนังสือที่ 977/2485 คือเอกสารหมาย จ.ล.1 ประกอบกับเอกสารอื่น ๆ และคำพยานบุคคลมิใช่สัญญาซื้อขายไม้ระหว่างโจทก์จำเลย เป็นเพียงหนังสือแสดงความจำนงของผู้ซื้อไม้เท่านั้น เงินมัดจำที่วางไว้ก็เป็นเรื่องต้องวางตามระเบียบเมื่อแสดงความจำนงขอซื้อไม้เช่นเดียวกับผู้ยื่นประมูลขอซื้อขายจะต้องวางเงินมัดจำหรือเงินประจำซองเท่านั้นเองเอกสารนี้หาเป็นการผูกมัดคู่กรณีไม่ จึงพิพากษายกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้ว เอกสารที่กล่าวมีข้อความดังนี้
“โรงงานเลื่อยไม้ กรมยกกระบัตรทหารบก วันที่ 17 เมษายน 2485
แจ้งแก่ผู้อำนวยการโรงงานเลื่อยไม้ ยบ.
ข้าพเจ้ามีความประสงค์จะขอซื้อไม้ซุงสัก ดังมีรายการต่อไปนี้…โดยกำหนดจำนวนไม้ เนื้อไม้ ราคา และว่าได้วางเงินมัดจำไว้ 10/ประมาณ 8,262 บาท แล้วลงนาม ยูซุฟ ดำรงผล ผู้ซื้อ นายสนิทแม่กองขายได้บันทึกความเห็นลงไปว่า เห็นสมควรขายให้ราคาลูกบาศก์เมตรละ 37.00 บาท กับมีข้อความกล่าวถึงรายละเอียดเกี่ยวกับไม้นี้ พ.อ.ประกิต ขีตะสังคะ ผู้อำนวยการลงนามไว้ท้ายบันทึกตัวพิมพ์ว่า “อนุญาตให้ขายได้ตามราคาที่แม่กองขายเสนอมาและให้เจ้าหน้าที่บัญชีหักบัญชีออกได้”
ตามเอกสารและข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเอกสารหมาย จ.ล.1 ที่โจทก์อ้างว่าเป็นเอกสารฉบับเดียวที่เป็นสัญญาซื้อขายไม้รายนี้นั้น หาได้เป็นหนังสือแสดงความตกลงของจำเลยที่จะเป็นนิติกรรมซื้อขายไม้ให้แก่โจทก์อย่างใดไม่ หนังสือโจทก์ที่เสนอต่อผู้อำนวยการนั้น เป็นการแสดงความจำนงขอซื้อไม้ ส่วนคำสั่งของผู้อำนวยการก็เป็นแต่เพียงคำสั่งภายในถึงคนขายของตนให้ขายสิ่งของตามราคาที่ว่านั้นได้ หาได้มีการแสดงเจตนาถึงผู้ต้องการจะซื้ออย่างไรไม่ กรณีเป็นเช่นเดียวกับนายห้างขายของได้สั่งให้คนขายของหน้าร้านของตนขายสินค้าในร้านให้แก่ลูกค้าเท่านั้น แม้คนขายจะเอาคำสั่งนั้นมาให้ลูกค้าดูได้ก็ไม่ทำให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างนายห้างกับลูกค้านั้นอย่างใดเลยคดีโจทก์ที่ตั้งประเด็นมาโดยยึดเอาเอกสารหมาย จ.ล.1 เป็นหนังสือซื้อขายนั้น ฟังไม่ขึ้น ดังที่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจึงพิพากษายืน